Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2559

บ้านเอเลียนบนดาวอังคาร แต่นาซากำลังปิดบังชาวโลก


กลุ่มศึกษาUFO ให้ดูจะจะ!! ‘บ้านเอเลียน’บนดาวอังคาร แต่นาซากำลังปิดบังชาวโลก
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญตามล่าหายูเอฟโอ และเอเลียน เผยแพร่คลิปใหม่บนดาวอังคาร อาศัยภาพจากกูเกิล เอิร์ธ ชี้ให้เห็นสิ่งปลูกสร้างบนดาวอังคาร พร้อมกับฟันธงเป็น ‘บ้านของเอเลียน’ ที่สร้างลึกลงไปใต้ดินอย่างชัดเจน เพื่อหวังหลบซ่อนไม่ให้สิ่งมีชีวิตจากดาวอื่นมาเห็น ขณะที่นาซากำลังพยายามปิดบังเรื่องนี้

เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.58 เว็บไซต์ เดอะ มิร์เรอร์ รายงาน แซนดรา เอลีนา แอนเดรด หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญซึ่งพยายามติดตามศึกษาหาความจริงเกี่ยวกับยูเอฟโอ และเอเลียน หรือมนุษย์ต่างดาวนอกโลก เผยแผร่ภาพใหม่บนพื้นผิวดาวอังคารในคลิปวิดีโอและอัพโหลดลงในยูทูบ แสดงให้เห็นหลักฐานของการมีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร รวมทั้งดาวเคราะห์ดวงอื่น
มิร์เรอร์ แจ้งว่า จากการใช้ภาพถ่ายของกูเกิล เอิร์ธนั้น แซนดรา และกลุ่มผู้ตามล่าหาเอเลียน ได้ชี้ให้เห็นถึงวัตถุที่มีลักษณะเหมือนกับสิ่งปลูกสร้าง หรือเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ‘บ้านของเอเลียน’ อย่างชัดเจน ที่กระจัดกระจายอยู่หลายแห่ง และสร้างลึกลงไปพื้นผิวของดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้ เพื่อหวังป้องกันไม่ให้สิ่งมีชีวิตจากดาวดวงอื่นมาเห็นพวกตน โดยสมาชิกของกลุ่มศึกษาเรื่องยูเอฟโอ อ้างว่า บรรดานักวิทยาศาสตร์ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (นาซา) กำลังพยายามปิดบัง ‘บ้านของเอเลียน’ ต่อชาวโลกอยู่ ด้วยการซ่อนสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ ด้วยโปรแกรมโฟโต้ช็อป

ชี้ให้ดูสิ่งปลูกสร้างหลายแห่งบนดาวอังคาร

ช่องลักษณะคล้ายปากทางเข้าบ้าน ที่ซ่อนตัวอยู่ลึกลงไปใต้ผิวดาวอังคาร
ขณะที่ ผู้สนใจศึกษาเรื่องยูเอฟโอและเอเลียน ที่ตั้งชื่อว่า ‘ดาห์บู77’ ก็ได้อัพโหลดวิดีโอดังกล่าวลงในยูทูบ พร้อมชี้ว่า นี่คือหลักฐานที่ดีที่สุดของสิ่งปลูกสร้างบนดาวอังคาร ‘ทุกครั้งที่มีการพบอะไรที่น่าตื่นตะลึงบนดาวอังคาร พวกเขาทั้งหลาย(นาซา) ได้รีบบอกทันทีว่า มันเป็นก้อนหิน หรือไม่ก็เงา’ ดาห์บู 77 กล่าวเหน็บแนมนาซา

เพิ่มคำอธิบายภาพ

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559

การค้นพบ "เอเลี่ยนสาว" กับ "ยานอวกาศใหญ่ยักษ์" บนดวงจันทร์


เรื่องการค้นพบ "เอเลี่ยนสาว" กับ "ยานอวกาศใหญ่ยักษ์" บนดวงจันทร์นี่เท็จจริงเป็นยังไงใครพอจะทราบบ้าง?

EBE โมนาลิซ่า ที่ดวงจันทร์ หลักฐานการพบยานอวกาศ “มนุษย์ต่างดาว” บนดวงจันทร์
ข่าวสำคัญที่อยากจะบอก เกี่ยวกับยานลำนี้ ซึ่งอยู่บนดวงจันทร์มาแล้วหลายปี ตัวยานมีความยาวสองไมล์ ความสูงมากกว่าหอไอเฟล (Eiffel Tower) ข้างในมีโหลแก้วบรรจุตัวอ่อนมนุษย์ต่างดาว ขนาด 10 เซนติเมตร จำนวนมาก แต่ถูกทำลายไปไม่เป็นตัว ที่ชัดเจน คือ ตัวยานเก่ามากแล้ว มีอักขระบนกระดาษ เป็นอักษรหางยาว ๆ มีศพผู้หญิงคล้ายคนจีน ที่สวยจนเรียกว่า “โมนาลิซ่า” (Mona Lisa) ไม่เน่าเบื่อย เมื่อนำศพกลับขึ้นยานลูก ก็เอาแท่งที่ตรึงหน้าศพออก และนี่เป็นภารกิจร่วมของนักบินอวกาศอเมริกัน และ รัสเซีย เป็นภารกิจเพื่อการสำรวจในยานนี้โดยเฉพาะ ป่านนี้คงวิเคราะห์ ดีเอ็นเอ – DNA หญิงคนนี้ได้แล้ว

รัฐบาลนั้นยังปิดบังโกหกต่อสาธารณชนอย่างมากในเรื่องพวกนี้ เช่น ความจริงที่ว่าบนดวงจันทร์มีต้นไม้ และพืชเติบโตที่นั่น สามารถเปลี่ยนสีได้ตามฤดูกาล และมีก้อนเมฆด้วย ซึ่งเป็นด้านมืดของดวงจันทร์ และสามารถเดินได้บนดวงจันทร์โดยมีแรงโน้มถ่วงเช่นเดียวกับโลก

อังเดร ฟิงเกลสทีน (Andrei Finkelstein) นักดาราศาสตร์ชื่อดัง ซึ่งทำงานให้กับรัฐบาลรัสเซีย ได้ออกมายืนยันด้วยตัวเอง เมื่อ 27 มิถุนายน 2553 ว่า ในจักรวาลยังมีสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อยู่ พร้อมระบุว่า มนุษยชาติจะได้เผชิญหน้ากับผู้มาเยือนจากนอกโลกอย่างแน่นอน ภายในระยะเวลา 20 ปีนับจากนี้…

ข้อมูลจากนักดาราศาสตร์ชั้นนำของรัสเซียระบุว่า มนุษยชาติจะได้เผชิญหน้ากับมนุษย์ต่างดาวอย่างแน่นอนภายในปี ค.ศ. 2031 หรืออีก 20 ปีนับจากนี้ โดย อังเดร ฟิงเกลสทีน เปิดเผยเรื่องดังกล่าวระหว่างที่เขาเดินทางไปกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดการประชุมนานาชาติว่าด้วยเรื่อง “การค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก” โดยเขาได้ย้ำกับที่ประชุมว่า “นอกจากโลกของเราแล้ว ในจักรวาลยังมีดาวอีกหลายดวงที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมกับการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต และมีความเป็นไปได้อย่างมากที่มนุษย์ต่างดาวจะมีรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์ คือ มี 2 แขน, 2 ขา และ 1 ศีรษะ”

การเปิดเผยล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของรัสเซียรายนี้ เป็นการตอกย้ำกระแสความเชื่อเรื่องสิ่งมีชีวิตนอกโลกให้ชัดเจนยิ่งขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ วารสารทางวิชาการ “The Journal of Cosmology” ได้ตีพิมพ์บทความที่อ้างว่า มีการค้นพบซากไมโครฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตนอกโลกปะปนมากับอุกกาบาตที่ตกลงสู่พื้นโลกมาแล้วเช่นกัน

เชื่อกันว่าเป็นเรื่องจริงที่ถูกค้นพบในโครงการอพอลโล่ ในองค์กร NASA ของสหรัฐอเมริกา แต่ถูกปิดข่าวมาโดยตลอด ด้วยความร่วมมือจากสหภาพโซเวียสด้วย ส่วนจะจริงเท็จยังไงนั้นคงยากที่จะพิสูจน์ยืนยันอย่างแจ้งชัด แต่ถ้าเป็นความจริงก็ต้องบอกว่า เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นหลักฐานสำคัญในการค้นพบสิ่งที่เรียกกันว่า EBE (Extraterrestrial Biological Entities) อย่างชัดแจ้งที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งจะเป็นการยืนยันการมีอยู่จริงของสิ่งมีชีวิตต่างดาว ที่มีภูมิปัญญา ไม่ใช่มีเพียงลำพังพวกเราชาวมนุษย์โลกในระบบสุริยะจักรวาลนี้เท่านั้น

เรื่องของ EBE นี้ถือได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญประการหนึ่งในแวดวง UFO โดยอาจแปลได้ว่าเป็น สิ่งมีชีวิตทางชีววิทยาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีภูมิปัญญาสูง ดังนั้นการค้นพบหลักฐานของ EBE จึงถือได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยสำหรับผู้ที่ให้ความสนใจในเรื่องเกี่ยวกับ UFO ดังกล่าว โดยเหตุการณ์การค้นพบ EBE ครั้งแรกนี้ เกิดขึ้นในราวๆ ยุค 70 ซึ่งเป็นช่วงที่ NASA ยังดำเนินภารกิจในโครงการอะพอลโล่อยู่ โดยจะอยู่ประมาณอพอลโล่ 15-20 ซึ่งได้มีการเก็บเรื่องเงียบไว้ กระทั่งถูกนำมาเปิดเผยอีกครั้ง เมื่อราวๆ เดือนสิงหาคม  นี้เอง

จากการสำรวจครั้งนั้นพบ ยานอวกาศขนาดยักษ์จอดอยู่ในหลุมเครเตอร์ ลักษณะเป็นทรงซิการ์ ส่วนขนาดนั้นเรียกได้ว่ามหึมาเลยทีเดียว มีการประมาณการกันว่าความสูงของเจ้ายานนี้วัดจากใต้ท้องเรือถึงส่วนบนนั้นมี ความยาวประมาณ 500 เมตรนั้น และยาวกว่า 3,300 เมตร หรือ 3 กิโลกว่าๆ !! เลยทีเดียว โดยจากภายนอกนั้นสามารถมองเห็นสะพานเรือ หรือห้องบังคับการที่อยู่ด้านบนได้อย่างชัดเจนเลยหรือลองดูจากรูปก็ได้ครับ

น่าสนใจดีทีเดียว หลังจากการประมาณอายุของมันแล้ว นับได้กว่า 1.5 ล้านปีแน่ะครับ อะไรจะเก่าแก่ขนาดนั้น
ภาพถ่ายจากอพอลโล 15 ที่มีการค้นพบยานอวกาศ
ภาพจากอพอลโล 16 จะเห็นรายละเอียดชัดเจนขึ้นมานิดนึง

ล่าสุดจากอพอลโล 20 จะเห็นรายละเอียดชัดเจนทีเดียวขนาดของมันสูงกว่าครึ่งกิโลเมตร และอาจจะยาวกว่า 3.37 กิโลเมตรก็ได้  เห็นเป็นวัตถุที่ มีรายละเอียดมีความสมดุล และมีการออกแบบ แตกต่างจากสิ่งแวดล้อมและพื้นผิวที่อยู่รอบตัวมากทีเดียว

วัตถุลึกลับอาจเป็นของUFO ตกกลางทุ่ง


วัตถุลึกลับอาจเป็นของUFO! ชาวสเปนมึนตึ้บ วัตถุปริศนาตกกลางทุ่ง ซ้ำสอง
 
ชาวบ้านในสเปน สุดงง... อยากรู้คำตอบ วัตถุประหลาดที่ตกลงกลางทุ่งคืออะไรกันแน่ พากันวิจารณ์แซด เป็นวัตถุนอกโลก ของ ยูเอฟโอ หรือเปล่า แถมยังตกลงมาในสเปน สองครั้งแล้วในระยะห่างแค่ 5 วัน

เมื่อ 10 พ.ย.ปีที่แล้ว เว็บไซต์ เดอะ มิร์เรอร์ รายงาน ชาวสเปนในเมืองคาลาสปาร์รา ต้องพากันพิศวงงงงวย โจษขานกันให้อื้ออึงว่า วัตถุปริศนา ลักษณะทรงกลม คล้ายลูกข่าง น้ำหนักประมาณ 20 กิโลกรัม และเหมือนมีเทปพันรอบที่ตกจากท้องฟ้าลงมากลางทุ่งหญ้านั้น มันคืออะไรกัน ที่น่าประหลาดใจ คือเพิ่งมีวัตถุลึกลับลักษณะคล้ายกันนี้ ตกลงมากลางทุ่งที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในสเปนมาแล้ว เมื่อ 5 วันก่อน จนพากันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา รวมทั้ง วัตถุลึกลับนี้ใช่เป็นของมนุษย์ต่างดาวจากนอก
โลกหรือเปล่า


วัตถุปริศนาที่ตกลงกลางทุ่งในสเปน 2 ครั้งแล้ว
ชาวบ้านในหมู่บ้าน คลาสปาร์รา เมืองมูร์เซีย ซึ่งมีประชาชนอาศัยอยู่ประมาณ 9,700 คน ต้องการทราบคำตอบว่า วัตถุประหลาดดังกล่าว คืออะไรกัน ขณะที่ นายกเทศมนตรีของเมืองก็ไม่นิ่งนอนใจ รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาช่วยตรวจสอบวัตถุปริศนา เนื่องจากชาวบ้านมีความวิตกกังวลกันมาก เกรงว่าจะมีวัตถุลักษณะนี้ ตกลงมาอีก และถ้าเกิดตกในเขตชุมชนแล้วอาจทำให้มีผู้คนได้รับบาดเจ็บ.

เผยภาพถ่ายโบราณจากเรือดำน้ำสหรัฐ วัตถุลึกลับเหนือท้องทะเล


เผยภาพถ่ายโบราณจากเรือดำน้ำสหรัฐ วัตถุลึกลับเหนือท้องทะเล

นับว่าเป็นข่าวที่สุดจะฮือฮาและสร้างความสงสัย ประหลาดใจ พร้อมทั้งตลึงให้เกิดขึ้นในเวลาเดี่ยวกันจริงๆ ครับ เมื่อมีเผยแพร่ภาพถ่ายที่ระบุว่าถ่ายได้จาก เรือดำน้ำยูเอสเอสทรีปัง ของสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 1971 เผยให้เห็นวัตถุประหลาดที่ลอยอยู่เหนือน่านน้ำท้องทะเล ด้านหลายคนนั้นให้ความเห็นแตกต่างกันออกไป งานนี้ไม่แน่อาจจะเป็นเอเลี่ยนของจริง แต่ต้องรอการพิสูจน์


วันนี้( 11 กรกฎาคม) ทางด้านของมติชนออนไลน์ได้เผยแพร่ข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศถึงภาพถ่ายโบราณของวัตถุลึกลับประหลาดขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่เหนือท้องทะเล โดยระบุว่าเป็นภาพที่ถ่ายได้จาก เรือดำน้ำยูเอสเอสทรีปัง ของสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 1971 

โดยเป็นภาพที่ถ่ายระหว่างที่กำลังเดินทางจากไอซ์แลนด์ไปยังเกาะยานไมเอน วัตถุดังกล่าวมีขนาดใหญ่  เหมือนเป็นแท่งยาว ลอยอยู่เหนือท้องฟ้า แถมมันยังลงไปในทะเลด้วย ภาพทั้งหมดเป็นภาพถ่ายขาวดำที่ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่ามันคือวัตถุอะไรกันแน่

หลายฝ่ายนั้นตั้งคำถามกันไปต่างๆ นาๆ โดยบ้างก็ว่าวัตถุประหลาดนี้อาจจะเป็นการทดสอบการบินลับของสหรัฐฯ หรืออาจจะเป็นยานเอเลี่ยนที่กำลังหาแหล่งขุดเจาะน้ำมัน

ทางด้านของนายอเล็กซ์ มิสเทรตตา นักสืบเรื่องลึกลับ ได้ทำการศึกษาภาพดังกล่าวหลังจากที่มันถุกเผยแพร่ครั้งแรกในนิตยสารท็อป ซีเคร็ต ของฝรั่งเศส เขายืนยันว่าภาพถ่ายชุดนี้มาจากเรือดำน้ำของสหรัฐฯ  

โดยระหว่างนั้นเรือดำน้ำอยู่ในการควบคุมของพลเรือเอก ดีน เรย์โนว และจากบันทึกของทางการก็ทำให้เชื่อได้ว่าภาพถ่ายดังกล่าวามจากกเรือดำน้ำจริง แต่ว่าข้อมูลนั้นไม่ลึกและไม่น่าเชื่อถือ  และชุดภาพยังมีการอธิบายใต้ภาพด้วยว่า การเปิดเผยยังไม่ได้รับอนุญาต  เป็นต้น เรื่องนี้จึงทำให้เชื่อได้ว่ามันถ่ายมาจากเรือดำน้ำจริง แต่ข้อมูลอื่นๆ นี่สิครับมันน่าสงสัยและเราอยากจะรุ้ว่าใครเป็นคนถ่าย วัตุที่เห็นนี้มันเคลื่อนไหวอย่างไร แล้วมันมีขนาดเท่าไหร่กัน

และภาพถ่ายชุดนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกัน ทางด้านของนายบิล สไมลลีย์ ผุ้ที่เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นต่อภาพดังกล่าวระบุว่า ภาพทั้งหมดที่เห้นนี้อาจจะเป็นภาพของวัตถุเดียวกัน ที่สามารถเปลี่ยนรุปร่างได้ แถมบางคนยังบอกว่าจะทุ่มเงินให้เทคโนโลยีการขุดเจาะน้ำมันของเอเลี่ยนซะอีก


ท้ายสุดทางด้านของนายนิเกล วัตสัน ผู้ที่เขียนหนังสือ คู่มือการสืบสวนเรื่องยูเอฟโอ ได้ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวภาพสุดลึกลับนี้ว่า ภาพพวกนี้เป็นภาพที่แปลกมากๆ เมื่อนำมาเทียบกับภาพของยูเอฟโอที่มีผู้ถ่ายเอาไว้ทั่วโลก และภาพชุดนี้ยังทำให้เขานึกไปถึง เหตุการณ์ เรือเหาะผีในปี 1896 ที่มีคนทั้งสหรัฐฯ มองเห็นเรือเหาะลึกลับ นอกจากนี้เขายังบอกถึงเรื่องราวของนักสำรวจ  เบนจามิน ทรูบลัด ที่เดินทางไปสำรวจขั้วโลกในปี  1908 และชาวเอสกิโมที่นั่นก็มีความต้องการที่จะเล่าเรื่องราวของเรือเหาะที่พวกเขาเห็นให้ได้ฟังอีกด้วย

หลายอย่างยังคงรอการพิสูจน์ ความลึกลับน่าค้นหายังคงมีให้เราได้เห็นกันอยู่ตลอด เป็นเรื่องที่ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้จริงๆ ว่าเรานั้นเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงเผ่าพันธุ์เดียวบนจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้จริงหรือไม่ จะมีสิ่งมีชีวิตอื่นนอกโลกไปแสนไกลหรือเปล่า ยังคงต้องหาคำตอบกันต่อไปครับ

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559

พบยานยูเอฟโอโบราณ เหนือป่าอเมซอน


พบยานยูเอฟโอโบราณ เหนือป่าอเมซอนหลังจากมีการพบแสงประหลาดสว่างออกมาจากแนวต้นไม้ในป่า
วัตถุประหลาดนี้ปรากฏอยู่ในแผนที่ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะไม่กลมกลืนกับสภาพ แวดล้อมรอบข้างซึ่งนั่นอาจจะเป็นสัญญาณของสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่มาเยือน
โลกของเรา

วัตถุประสงค์ดังกล่าวนี้ถูกพบในป่าลึกอเมซอนซึ่งผู้ที่พบเชื่อว่านี่อาจเป็นหลักฐานยานเอเลี่ยน ได้เป็นอย่างดียานยูเอฟโอดังกล่าวนี้ดูเหมือนว่ามันจะถูกซ่อนอยู่ภายในต้นไม้แต่มันก็ถูกพบเห็นได้โดยดาวเทียมถ่ายภาพ  ซึ่งผู้ที่พบเห็นหลายคนเชื่อว่าขนาดของยานจริงๆแล้วน่าจะค่อนข้างมีขนาดใหญ่

นายเทย์เลอร์จากฐานปฏิบัติการการตรวจสอบวัตถุรลับหรือยูเอสโอได้อธิบายถึงปรากฏการณ์ภาพถ่ายดังกล่าวว่าภาพถ่ายในลักษณะนี้มักจะมีผู้พบเห็นอยู่เป็นประจำโดยเฉพาะผู้ที่พบเห็นภาพดังกล่าวนี้จากแผนที่Google  ซึ่งวัตถุปลัดนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบข้างใดใดเลย

นายเทย์เลอร์ได้กล่าวว่า "มันไม่มีอะไรเลยในพื้นที่แห่งนี้มันมีเพียงแค่ต้นไม้และต้นไม้เท่านั้นและคุณสามารถมองเห็นได้ว่าวัตถุดังกล่าวมีขนาดใหญ่แค่ไหนเมื่อเทียบกับต้นไม้ที่อยู่รอบรอบวัตถุนี้"

นอกจากนี้นายเทย์เลอร์ยังบอกอีกว่าพื้นที่ป่าอเมซอนมักจะถูกกล่าวเชื่อมโยงกับการพบเห็นวัตถุประหลาดหรือยูเอฟโออยู่เป็นประจำรวมทั้งการค้นพบ  Earthen ring ซึ่งได้มีการค้นพบมานานแล้วและยังคงมีการศึกษาการเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวกันอย่างต่อเนื่องแต่อย่างไรก็ตามทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครที่จะสามารถอธิบายถึงปรากฏการณ์ดังกล่าวได้

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2559

นาซ่าได้ค้นพบจุดแสงสีขาวลึกลับบนดาวเคราะห์แคระซีรีส


NASA ได้ค้นพบจุดแสงสีขาวลึกลับบนดาวเคราะห์แคระซีรีส (Dwarf Planet Ceres)

องค์การนาซาส่งยานอวกาศออกไปนอกโลกเพื่อเดินทางไปสำรวจดาวเคราะห์น้อย เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2015 ด้วยระยะทาง 29,000 ไมล์ ยานสำรวจอวกาศนั้นได้ค้นพบแสงจุดสีขาวประหลาดโดยไม่ทราบสาเหตุบนดาวเคราะห์แคระซีรีส (Ceres) จัดให้เป็นดาวเล็กๆที่จำแนกอยู่ในประเภทเดียวกันกับ ดาวพลูโต 
และลอยอยู่ในแถบดาวเคราะห์น้อยท่ามกลางดาวอังคารและจูปิเตอร์

ยานสำรวจอวกาศนั้นได้ทำการบัญทึกภาพไว้ ซึ่งเราสามารถเห็นจุดแสงสีขาวสว่างไสวในภาพที่ไม่ชัดนักบนดาวเคราะห์แคระซีรีส (Ceres)

นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าแสงสีขาวที่ส่องประกายบนนั้นคืออะไร แต่อย่างไรก็ตามนักทฤษฎีก็ยังพยายามสร้างทฤษฎีเพื่อหาคำตอบ

Chris Russell ผู้ทำงานกับโครงการยานอวกาศของนาซากล่าวว่า อาจเป็นไปได้ว่ามันคือ ปล่องภูเขาไฟ แต่ไม่ใช่ภูเขาไฟแบบที่เรารู้จักกัน มันจะออกไปทางภูเขาไฟน้ำแข็งระเบิดซะมากกว่า
Science new กล่าวว่า เป็นภูเขาไฟน้ำแข็งที่ระเบิดออกมาเป็นของเหลวที่สามารถละเหยเป็นไอได้อย่างรวดเร็ว อย่างเช่นน้ำ หรือ มีเทนแทนที่จะออกมาเป็นลาวา

พบพีระมิดบนดาวซีรีส


พบ 'พีระมิด' บนดาว 'ซีรีส' ภูเขาลึกลับที่สูงตระหง่านเหนือพื้นผิวของดาว
ภูเขาลึกลับที่สูงตระหง่านเหนือพื้นผิวของดาวเคราะห์แคระนี่คือภาพถ่ายชุดใหม่ล่าสุดจากดาวซีรีส (Ceres) หรือดาวเคราะห์แคระ ที่ถูกถ่ายโดยยานอวกาศดอว์น (Dawn) ซึ่งสามารถจับภาพของภูเขาพีระมิดได้จากพื้นผิวของดาวซีรีส
เนื่องจากยานอวกาศดอว์นได้เคลื่อนที่เข้าใกล้วงโคจรของดาวซีรีสมากยิ่งขึ้น ทำให้สามารถพบกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนดาวเคราะห์แคระดวงนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 
อาทิ จุดส่องสว่างลึกลับ ที่กระจายตัวให้เห็นทั่วบริเวณของปากปล่องภูเขาไฟ แต่พวกเราก็ยังไม่สามารถทราบที่มาที่แท้จริงได้ว่ามันเกิดจากอะไรกันแน่
ภาพถ่ายเหล่านี้ถูกถ่ายไว้โดยยานอวกาศดอว์น ในการทำแผนที่ครั้งที่ 2 ของดาวเคราะห์แคระ ใกล้กับวงโคจรที่ความสูงเพียง 2,700 ไมล์ (ราว 4,400 กิโลเมตร)


ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ยานอวกาศดอว์นได้ค้นพบแค่เพียงจุดส่องสว่างเพียงสองจุดบนดาวเคราะห์แคระนี้เท่านั้น แต่ในตอนนี้เมื่อยานอวกาศดอว์นเคลื่อนตัวเข้าใกล้วงโคจรของดาวเคราะห์แคระมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ได้พบกับความน่าสนใจของดาวเคราะห์แคระดวงนี้
ในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ยานอวกาศดอว์นได้เข้าใกล้พื้นผิวของดาวเคราะห์แคระเพียง 225 ไมล์ (ราว 360 กิโลเมตร) ซึ่งเป็นระยะทางที่ต่ำกว่าสถานีอวกาศนานาชาติเหนือพื้นผิวของโลก  

ในภาพแรกนั้น เราจะได้เห็นพีระมิดสูงตระหง่านอยู่บนพื้นผิวของดาวเคราะห์แคระที่ค่อนข้างแบน
จากโครงสร้างของมันนั้น น่าจะมีความสูงประมาณ 3 ไมล์ (ราว 5 กิโลเมตร) เทียบเคียงได้กับความสูงของยอดเขามงบล็อง (Mont Blanc) ในประเทศฝรั่งเศสและอิตาลี ซึ่งถือว่าเป็นภูเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขา
แอลป์ (Alps)

ในภาพต่อมานั้นเราจะได้เห็นรายละเอียดที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งคุณจะเห็นว่ามันมีพื้นที่ที่ค่อนข้างมีขนาดใหญ่ คาดว่าพีระมิดนี้จะมีความกว้างประมาณ 6 ไมล์ 
(ราว 9 กิโลเมตร)

ว่ากันว่าน้ำแข็งและเกลือ คือทฤษฎีที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดปรากฎการณ์สะท้อนแสงที่แปลกประมาณบนดาวเคราะห์แคระดวงนี้
"มันน่าตื่นเต้นมากครับที่ได้เห็นคุณสมบัติเหล่านี้ในภาพที่มีความชัดเจนครับ" ดร. มาร์ค เรย์แมน (Dr. Marc Rayman) ผู้อำนวยการและหัวหน้าวิศวกรจากภารกิจยานอวกาศดอว์น กล่าวต่อสำนักข่าว 'MailOnline'


ยานอวกาศดอว์น ซึ่งได้เดินทางมาถึงดาวซีรีส เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ปี 2015 นั้น ถือว่าเป็นยานอวกาศดวงแรกที่สามารถเดินทางไปเยือนวัตถุในระบบสุริยะทั้งสองแห่งนี้ได้สำเร็จ (ยานอวกาศดอว์นเคยไปเยือนที่ดาวเคราะห์แคระเวสตา (Vesta) มาแล้วเช่นกัน)
ทั้งนี้ยานอวกาศดอว์นจะอยู่ในวงโคจรของดาวซีรีสจนกระทั่งถึงวันที่ 30 มิถุนายนนี้ ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายไปในระดับที่มีความสูงต่ำกว่า 900 ไมล์ (ราวๆ 1,450 กิโลเมตร) ในเดือนสิงหาคม

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559

ตะลึงรอยสักมัมมีไซบีเรียอายุกว่า 2,500 ปี


รอยสักมัมมีไซบีเรียอายุกว่า 2,500 ปี
  
เว็บไซต์ “เดอะ เดลีเมลล์” ของอังกฤษ รายงานว่า
นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียเผยการค้นพบอันน่าอัศจรรย์เกี่ยวกับรอยสักบนร่างของมัมมี่เจ้าหญิงไซบีเรีย อายุกว่า 2,500 ปี ซึ่งอาจช่วยในการค้นคว้าด้านอารยธรรม และความเป็นมาของชนเผ่า “ปาซิริก” ตามประวัติศาสตร์นิพนธ์ของ เฮโรโดตัส นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก ที่บันทึกเรื่องนี้ไว้เมื่อช่วงศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศกราช

น.ส. นาตาเลีย โปโลสแม็ก  หัวหน้าทีมผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งค้นพบมัมมี่ของเจ้าหญิง “อูก็อก” ที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในเทือกเขาอัลไต กล่าวว่า
น่าประหลาดใจมาก ที่รอยสักบนร่างของมัมมี่ยังคงสภาพสมบูรณ์เกือบ 100% แม้ระยะเวลาจะล่วงเลยมานานกว่า 2,000 ปี โดยจากผลการศึกษา และรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นทางประวัติศาสตร์พบว่า เจ้าหญิงอูก๊อก ผู้สิ้นพระชนม์ขณะมีพระชันษาเพียง 25 ปี ทรงได้รับการเทิดทูนเสมือนสตรีผู้ศักดิ์สิทธิ์ในสมัยนั้น มัมมี่ของพระองค์ทรงถูกฝังอยู่ แวดล้อมด้วยมัมมี่ราชองครักษ์ 2 นาย และม้าอีก 6ตัวเสมือนตัวแทนนำทางพระองค์เดินทางไปยังโลกหน้าได้อย่างสงบสุข นอกจากนี้ ยังมีข้างของเครื่องใช้จากทั้งขนสัตว์ ไม้ ทองแดง และทองคำ ถูกฝังอยู่รายรอบเช่นกัน

มันมีใส่รองเท้าเหมือนรองเท้าอดิดาสอายุ1500ปี
ทั้งนี้ รอยสักตามพระวรกายของเจ้าหญิงนั้น ส่วนใหญ่เป็นรูปสัตว์ในเทพนิยาย อาทิ กริฟฟอน ( สัตว์คล้ายสิงโต ที่มีศีรษะ และปีกเหมือนนกอินทรี ) และมังกร โดยอยู่ตามพระอังสา ( ไหล่ ) ทั้งสองข้าง และพระเพลา ( ขา )  ซึ่งเป็นตำแหน่งที่คนปัจจุบันนิยมสักมากที่สุด

ดร.โปโลสแม็ก คาดว่า ชาวปาริซิก อาจมีความเชื่อว่า รอยสักบนร่างกายจะติดตัวไป
และเป็นสัญลักษณ์ช่วยให้คนในครอบครัว หรือเชื้อสายเดียวกัน สามารถจำกันได้ เมื่อเดินทางไปเกิดใหม่ยังโลกหน้าแล้ว และยังอาจสื่อถึงการแบ่งวรรณะทางสังคมด้วยเช่นกัน ซึ่งเธอและทีมงานจะศึกษา และวิเคราะห์เรื่องนี้โดยละเอียดต่อไป ว่ามีความสัมพันธ์กับแนวคิดการสักตามร่างกายในปัจจุบันมากน้อยเพียงใด
ปัจจุบัน มัมมี่ของเจ้าหญิงอูก๊อก ได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี และนำออกแสดงต่อสาธารณชนแล้วที่ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติในกรุงกอร์โน-อัลไตสค์ สาธารณรัฐปกครองตนเองอัลไต.

พบนาฬิกา Swiss ในหลุมศพอายุ 400 ปี


พบนาฬิกา Swiss ในหลุมศพอายุ 400 ปี หรือการย้อนเวลาจะม่ีจริง ?

เราได้ยินเรื่องของการย้อนเวลาหลายต่อหลายครั้ง อย่างเช่นเรื่องของ John Titor ที่ย้อนเวลาจากอนาคตพร้อมทั้งบอกรายละเอียดของเครื่องไทม์แมชชีน รวมไปถึงภาพถ่ายอีกหลายภาพที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงในประเด็นของการย้อนเวลา


โครงสร้างไทม์แมชชีน ของ John Titor
ส่วนเรื่องที่จะนำมาให้ชมต่อไปนี้ เกิดขึ้นในปี 2008 ที่ประเทศจีน เมื่อนักโบราณคดีคนหนึ่งได้ทำการเปิดโลงศพยักษ์ในสุสาน Si Qing ของราชวงศ์หมิง (อยู่ระหว่างปี 1368 – 1644) ที่อยู่อย่างสงบโดยไม่มีใครรบกวนมากว่า 400 ปี ในมณฑลชางซี


ในขณะที่ เจียง หยานหยู เจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์กวางสี และทีมงานกำลังเอาดินรอบๆ โลงศพออก พวกเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบกับชิ้นส่วนโลหะเล็กๆ รูปร่างคล้ายกับนาฬิกาที่ถูกห่อหุ้มด้วยดินและหิน ที่มีเวลาหยุดเดินที่ 10:06 น. โดยมีข้างหลังสลักคำว่า Swiss
มันคือนาฬิกา Swiss อย่างนั้นหรือ ?

 พวกเขามั่นใจว่าพวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่ไปเปิดโลงศพแห่งนี้ หลังจากเสร็จสิ้นพิธีศพ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครมาก่อนพวกเขาแน่ๆ


ถ้าหลุมศพแห่งนี้ไม่มีใครถูกรบกวนมากว่า 400 ปี แล้วใครจะสามารถอธิบายได้ว่า สิ่งประดิษฐ์ที่อยู่ในยุคปัจจุบันนี้ ทำไมถึงไปอยู่ในหลุมศพแห่งนี้ได้ มันคือในสมัยราชวงศ์หมิง หรือว่าการเดินทางข้ามเวลาจะมีจริง ?

ส่วนรัฐบาลจีนกล่าวว่า ไม่มีความเห็นสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้
คลิปประกอบ

โครงการลับรัสเซีย เคยขุดพบมัมมี่มนุษย์ต่างดาว อายุกว่า 13,000 ปี

เผยโครงการลับรัสเซีย เคยขุดพบมัมมี่มนุษย์ต่างดาว อายุกว่า 13,000 ปี
ย้อนกลับไปในปี 1961 ทางกองทัพรัสเซียและหน่วยสืบราชการลับ KGB ได้เริ่มโครงการที่มีชื่อว่า ISIS (ไม่เกี่ยวกับผู้ก่อการร้าย) ซึ่งเป็นโครงการที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อรวบรวมเอกสารข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว และเทคโนโลยีจากต่างดาว โดยหนึ่งในหลักฐานการค้นพบชิ้นสำคัญ ก็คือซากมัมมี่ของมนุษย์ต่างดาว ที่มีอายุกว่า 13,000 ปี

โครงการ ISIS ประกอบไปด้วย ผู้เชี่ยวชาญในวิชาโบราณวัตถุของอียิปต์หลายคนจากสถาบันวิทยาศาสตร์โซเวียต รวมไปถึงนักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญทางการทหาร โดยนำทีมโดย ซามี ชาราฟ ผู้ใกล้ชิดกับ อับเดล นาซเซอร์ ประธานาธิบดีอียิปต์ในสมัยนั้น
และนี่เป็นวีดีโอส่วนหนึ่งที่มีความยาวราว 3 นาที ได้ถูกเปิดเผยมาจากสารคดีฉบับเต็มที่ความยาวกว่า 1 ชั่วโมง เป็นช่วงที่ทางกองทัพของรัสเซียค้นพบมัมมี่ตนนี้ที่ประเทศอียิปต์ โดยในระหว่างที่เปิดโลงศพ พวกเขาต้องพบกับก๊าซพิษที่ลอยฟุ้งขึ้นจนต้องล่าถอยออกมา และได้กลับเข้าไปใหม่อีกครั้งพร้อมกับชุดป้องกันและหน้ากากกันก๊าซพิษ
ตามรายงานของเจ้าหน้าที่อาวุโสของ KGB ระบุว่า ซากมัมมี่ที่ถูกพบนี้มีความสูงถึง 2 เมตร โดยมีอายุประมาณ 13,000 ปี และมีตัวอักษรอียิปต์โบราณที่แปลได้ว่า “เทพปีก” นอกจากนั้นยังมีกล่อง 15 กล่องที่บรรจุสิ่งประดิษฐ์แปลกๆ เอาไว้ข้างใน ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัสเซียได้มีความพยายามที่จะกู้คืนให้มันกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง
สำหรับการค้นพบครั้งนี้นักวิจัยหลายคนเชื่อว่า อาจมีการเชื่อมโยงกันระหว่าง มนุษย์ต่างดาว กับเทพเจ้าของชาวอียิปต์โบราณอย่าง เทพโอซิริส ที่มีการบันทึกว่าลงมาจากท้องฟ้า ซึ่งจริงๆ แล้ว เทพของชาวอียิปต์โบราณ อาจเป็นมนุษย์ต่างดาวที่มากับ UFO ก็เป็นได้

ภาพถ่ายเงาปริศนาลึกลับบนท้องฟ้า

ภาพถ่ายเงาปริศนาลึกลับบนท้องฟ้า
Nick O'Donoghue ได้เผยแพร่ภาพถ่ายปริศนาบนท้องฟ้า ที่เขาบันทึกได้ขณะที่เดินทางโดยอีซี่เจ็ต จากประเทศออสเตรียไปยัง เมืองคอร์ก ประเทศไอร์แลนด์ 

เขาเผยว่ามันเป็นเงาคล้ายกับหุ่นยนต์ขนาดใหญ่เขาจึงได้บันทึกภาพนี้มาที่ระดับความสูง 30,000 ฟุต จนตอนนี้กลายเป็นภาพที่มีการพูดคุยกันมากที่สุดภาพหนึ่งในเว็บไซต์ Reddit และยังไม่มีผู้ใดทราบว่ามันคือเงาของสิ่งใด

วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2559

ลึกลับ!พบมือถือเก่าแก่อายุกว่า 800 ปี พร้อมตัวอักษรโบราณ ในออสเตรีย



ตะลึง! พบมือถือเก่าแก่อายุกว่า 800 ปี พร้อมตัวอักษรโบราณ ในออสเตรีย



กลุ่มนักโบราณคดีขุดพบวัตถุประหลาดที่ดูคล้ายกับโทรศัพท์มือถือ ในเขตเมือง Fuschl am See ใน ซัลซเบิร์ก ประเทศออสเตรีย โดยมีสัญลักษณ์บนปุ่มกดเป็นตัวอักษรคูนิฟอร์ม หรือ ตัวอักษรรูปลิ่ม ซึ่งเป็นตัวอักษรที่ถูกใช้มาตั้งแต่สมัยเมโสโปเตเมีย ในยุคหลายพันปีก่อนคริสตกาล

หลังจากตรวจสอบอายุของมันพบว่า เจ้าวัตถุประหลาดนี้ น่าจะเป็นแผ่นจารึก โดยมีอายุราว 800 ปี อยู่ในช่วงศตวรรษที่ 13 โดยกลุ่มนักโบราณคดีชาวออสเตรียขุดพบมันได้ในช่วงต้นปี แต่เพิ่งมาประกาศเมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา

สิ่งที่น่าสนใจคือ สัญลักษณ์ที่อยู่บนปุ่มต่างๆ เป็น อักษรคูนิฟอร์ม หรือ อักษรรูปลิ่ม ซึ่งเป็นตัวอักษรที่ถูกใช้มาตั้งแต่สมัยเมโสโปเตเมีย ในยุคหลายพันปีก่อนคริสตกาล แต่เพิ่งมาถูกถอดรหัสออกในช่วงศตวรรษที่ 19 นี้เอง

การค้นพบวัตถุชิ้นนี้ถือเป็นเรื่องแปลก เพราะมันถูกพบในออสเตรีย แทนที่จะเป็นอิหร่านหรือประเทศอื่นๆ ที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวสุเมเรียนหรือเมโสโปเตเมีย อีกเหตุผลก็คือ การค้นพบวัตถุเพียงชิ้นเดียวที่มีอักษรคูนิฟอร์มอยู่ก็คือชามโบราณ Fuente Magna ในประเทศโบลิเวีย ซึ่งก็ห่างไกลจากออสเตรียแบบคนละทวีปส่วน เซชาเรีย ซิทชิน นักวิจัย UFO ได้ให้ความเห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่มนุษย์ต่างดาวที่เป็นที่รู้จักกันในนาม Anunnaki (ที่ปรากฏอยู่ตามแผ่นจารึกโบราณ) มาจากดาวนิบิรุ เป็นผู้สร้างอารยธรรมซุเมเรียน ได้พยายามสร้างเครือข่ายการสื่อสารให้กับชาวสุมเรียน แต่พวกเขาอาจยังไม่พร้อมสำหรับเทคโนโลยีที่ใหม่ขนาดนี้ก็เป็นได้
แล้วคุณล่ะ เห็นภาพเจ้ามือถือโบราณนี้แล้ว คิดเห็นว่าอย่างไรกัน ?

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2559

ป่าลึกลับกับต้นไม้ที่บิดเบี้ยวกว่า 400 ต้น ที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้

ป่าลึกลับกับต้นไม้ที่บิดเบี้ยวกว่า 400 ต้นที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้
ป่าเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ในเวสต์โพเมอราเนียในประเทศโปแลนด์กลายเป็นสถานที่ ๆ มีชื่อเสียง 400 ต้นในผืนป่าแห่งนี้เกิดขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
1930 มันจะโค้งงอไปแบบ 90 องศา แต่ก็สวยงามไม่ใช่น้อย คิเลียนชอนเบอร์เกอร์ที่เก็บมาเป็นภาพสวย ๆ ให้เราได้ชมกัน

สรุปแล้วก็ไม่มีใครทราบว่า แล้วคุณล่ะคิดว่าทำไมต้นไม้ถึงมีสภาพแบบนี้

ตำนานการต่อสู้ของ UFO นับร้อย เหนือท้องฟ้า ประเทศเยอรมนี

ตำนานการต่อสู้ของ UFO นับร้อย เหนือท้องฟ้า ประเทศเยอรมนี
ในปัจจุบัน ด้วยเทคโนโลยีอย่างกล้องถ่ายภาพหรือวีดีโอ ทำให้เราสามารถจับภาพสิ่งประหลาดที่เราเรียกกันว่า UFO ที่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า เพื่อบันทึกเป็นหลักฐาน แต่ในสมัยโบราณ เราคงไม่มีอะไรที่จะบันทึกไว้ได้ นอกจากคำบอกเล่า และภาพวาดที่พอจะทำให้เราเห็นภาพได้บ้างว่า มันเกิดอะไรขึ้น

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 14 เมษายน ปี ค.ศ. 1561 ได้มีเหตุการณ์แปลกประหลาดบนท้องฟ้า เหนือเมืองนูเรมเบิร์ก ประเทศเยอรมนี ทุกคนในเมืองจำนวนมากกลายเป็นสักขีพยาน ซึ่งทุกคนเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “การต่อสู้บนท้องฟ้า”
พยานหลายคนกล่าวเหมือนกันว่า ในช่วงรุ่งอรุณของวันดังกล่าว สวรรค์เกิดการระเบิดขึ้น มีการต่อสู้กันระหว่างดวงอาทิตย์และวัตถุประหลาดขนาดใหญ่ ที่มีรูปทรงกลม ทรงกระบอก และทรงกากบาทหลายร้อยลำ บนท้องฟ้า

เหตุการณ์ทั้งหมดสิ้นสุดลง เมื่อมีการปรากฏตัวของวัตถุสามเหลี่ยมสีดำขนาดใหญ่ ทำให้ยานก่อนหน้านี้หลายลำเสียหายและตกลงไปนอกเมือง ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นี้ ก็ได้มีภาพที่ถูกวาดขึ้นมาติดเป็นกระดานข่าวในเมืองนูเรมเบิร์ก
แน่นอนว่า มีผู้คนจำนวนมากสงสัยว่ามันเกิดจากอะไรกันแน่ ? นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่หลายคนเชื่อว่า มันอาจเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติบางอย่าง ที่ถูกตีความผิดๆ โดยผู้คนในเมืองนูเรมเบิร์ก ผ่านมุมมองของศาสนาและสงคราม

หลังจากเหตุการณ์นี้ ก็มีรายงานเกี่ยวกับการค้นพบวัตถุแปลกๆ บนท้องฟ้าบ่อยครั้ง ในช่วงระหว่าง “สงคราม 30 ปี” ในปี 1618-1648 ซึ่งเป็นสงครามที่สร้างความเสียหายมากที่สุดครั้งหนึ่งในทวีปยุโรป

และนี่คือตำนานการพบเห็น UFO ที่น่าสนใจที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ น่าเสียดายที่ในสมัยก่อนยังไม่มีเทคโนโลยีบันทึกภาพได้ ไม่แน่ว่าในอนาคต เราอาจจะโชคดี (รึเปล่า?) ที่ไดเห็นปรากฏการณ์แบบนี้อีกก็เป็นได้

วิจัย UFO เผย พบประตูมิติบนพื้นผิวของดวงอาทิตย์ ที่อาจมีโลกอื่นอยู่ข้างใน

วิจัยยูเอฟโอเผยพบประตูมิติบนพื้นผิวของดวงอาทิตย์ที่อาจมีโลกอื่นอยู่ข้างใน
ภาพถ่ายดวงอาทิตย์ เมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงร่องรอยแปลก ๆ ขนาดใหญ่ที่ปรากฏอยู่บนพื้นผิวดวงอาทิตย์ซึ่งเหล่าบรรดานักวิจัยยูเอฟโอเชื่อว่านี่อาจเป็นประตูมิติ ยูเอฟโอยานแม่ในการเข้าไปเติมเชื้อเพลิง

ภาพนี้เป็นการตอกย้ำทฤษฎีสมบคบคิดที่ว่าา ดวงอาทิตย์จะมีช่วงเวลาที่หดตัวและเย็นลง จนเกิดเป็นจุดดำซึ่งนั่นเองจะเป็นสถานที่ ๆ ว่างเปล่า มันอาจเป็นประตูมิติหรือที่อยู่อาศัยอยู่ข้างในนั้น
ในขณะที่สก็อตวาริงนักวิจัยยูเอฟโอชื่อดังจากยูเอฟโอปรากฏการณ์ประจำวันได้กล่าวว่า “ประตูยักษ์แห่งนี้เพิ่งเปิดขึ้นบนดวงอาทิตย์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเพียงพอที่เห็นแสงสีขาวบริสุทธิ์ของโลกภายในนั้นส่องผ่านออกมา มันถูกเปิดขึ้นเพื่อที่จะให้ยานแม่เข้าหรือออก”
ส่วนนักวิจัยยูเอฟโอหลาย ๆ คนก็เชื่อในทฤษฎีที่ว่า ซึ่งมีโลกที่มีขนาดใหญ่กว่าเรานับ 1,000 เท่าอยู่ข้างในโดยมันถูกสร้างมานับล้านปีแล้ว
แล้วคุณล่ะเห็นภาพนี้แล้วคิดว่ามันคืออะไรกันแน่?



รายการบล็อกของฉัน