Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ปริศนาดาวบริวาร5 ดวงจันทร์ในระบบสุริยะ ที่นักวิทย์ เชื่อว่ามีความใกล้เคียงที่สุดที่จะพบสิ่งมีชีวิต

ปริศนาดาวบริวาร! 5 ดวงจันทร์ในระบบสุริยะ ที่นักวิทย์ฯ เชื่อว่ามีความใกล้เคียงที่สุดที่จะพบสิ่งมีชีวิต
หลายคนคงรู้กันอยู่แล้วว่า “แหล่งน้ำ” เป็นทรัพยากรสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมที่จะพัฒนาเป็นสิ่งมีชีวิตต่างๆ ได้ ทำให้การค้นพบแหล่งน้ำบนดวงดาวต่างๆ ก็มีแนวโน้มที่จะพบสิ่งมีชีวิตได้เช่นกัน และนี่คือดวงจันทร์ที่นักวิทย์ฯ เชื่อว่ามีโอกาสพบสิ่งมีชีวิตได้ เพราะดวงจันทร์เหล่านี้มีโอกาสพบแหล่งน้ำ
มีที่ไหนบ้างมาทำความรู้จักกัน
Enceladus: ดวงจันทร์เอนเซาลาดัส หรือ ดวงจันทร์ของดาวเสาร์ จากนาซ่าได้แถลงการณ์เมื่อเดือนเมษายน 2017 พบเปลือกน้ำแข็งหุ้ม มีมหาสมุทรขนาดเล็กที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตคล้ายกับโลกเป็นอย่างมากอยู่ เป็นหนึ่งในสถานที่นอกโลกที่มีความใกล้เคียงที่สุดในการที่จะพบสิ่งมีชีวิตที่สุดเลยก็ว่าได้โดยเฉพาะแบคทีเรียขนาดเล็กที่นำไปสู่สิ่งมีชีวิตต่างๆ
Titan: ไททันเป็นดาวบริวารของดาวเสาร์ที่ใหญ่ที่สุด นักวิทยาศาสตร์พบว่าไททันประกอบด้วยน้ำ น้ำแข็งและหินเกือบทั้งหมด และพบว่ามีการปรากฏตัวของลมและฝน

แต่เนื่องจากชั้นบรรยากาศประกอบด้วยก๊าซมีเทนและไนโตรเจน จึงทำให้พื้นผิวของดวงจันทร์ไททันมีลักษณะเหมือนกับทะเลทรายบนโลก นอกจากนี้ในปี 2014 นาซ่าได้เผยภาพแสงแดดสะท้อนออกจากผิวของดาวดวงนี้อีกด้วย
Callisto: ดาวบริวารของดาวพฤหัสบดี แม้จะมีลักษณะที่ขรุขระ แต่นักวิทยาศาสตร์พบว่า ดาวดวงนี้ประกอบด้วยน้ำแข็งและหิน โดยคาดว่าจะสามารถพบมหาสมุทรน้ำเค็มที่ซ่อนอยู่ใต้พื้นผิวที่อาจมีสิ่งมีชีวิตซ่อนอยู่ลึกลงไป 100 กิโลเมตร
Europa: ดาวบริวารดาวพฤหัสบดี โดยเมื่อปี 2013 นาซ่าได้เปิดเผยว่าพบแร่ธาตุที่มีความคล้ายคลึงกับดิน ปะปนอยู่บนผิวน้ำแข็งของดาวยูโรปา

นอกจากนี้ยังตรวจพบไอน้ำได้จากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล ซึ่งดาวดวงนี้เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่องค์การนาซ่าจะทำส่งหุ่นยนต์ปฏิบัติการไปสำรวจในปี 2020 เช่นเดียวกับองค์การอวกาศยุโรปที่วางแผนจะส่งยานไปสำรวจในปี 2022 ด้วย
Ganymede: ดวงจันทร์แกนีมีด ดาวบริวารของดาวพฤหัสบดีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ เมื่อปี 2015 นาซ่าได้ออกมาแถลงการณ์ครั้งใหญ่ ถึงทฤษฎีที่ว่าใต้ผิวของดวงจันทร์แกนีมีดมีมหาสมุทรซ่อนตัวอยู่ ซึ่งคาดว่ามีปริมาณน้ำมากกว่าที่มีบนโลกถึง 10 เท่า

นอกจากนี้จากการสำรวจด้วยยานกาลิเลโอ ในปี 1995 ยังพบว่ามีสนามแม่เหล็กที่คล้ายกับโลกอีกด้วย

ค้นพบ ละอองดาว หลักฐานสำคัญที่ไขปริศนาการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลครั้งใหญ่เมื่อหลายล้านปีก่อน

นักวิทย์ค้นพบ ‘ละอองดาว’ หลักฐานสำคัญที่ไขปริศนาการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลครั้งใหญ่เมื่อหลายล้านปีก่อน
เมื่อไม่นานมานี้นักวิทยาศาสตร์ภายในสถาบันวิจัยแห่งหนึ่ง ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลสำคัญถึงสาเหตุที่ทำให้สิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลจำนวนมากต้องสูญพันธุ์ไปเมื่อหลายล้านปีก่อน โดยการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับการค้นพบ ‘ตะกอน’ ซึ่งเป็นกัมมันตภาพรังสีของธาตุเหล็ก ที่มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า ‘Iron-60’ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบใต้มหาสมุทรแปซิฟิกในปี 1999 ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะใช้เวลาในการศึกษาค้นคว้าความลับของมันเป็นเวลานานหลายปี

จนกระทั่งได้ข้อสรุปเมื่อไม่นานมานี้ว่า แท้จริงแล้ว Iron-60 ไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นในโลก แต่เป็นแร่ธาตุจากต่างดาว ซึ่งมันเดินทางมายังโลกของเราได้เพราะปรากฏการณ์ซูเปอร์โนวา หรือการแรงระเบิดของดวงดาวดวงหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากโลกของเราออกไปประมาณ 300 ปีแสง ด้วยระยะห่างที่ค่อนข้างมากทำให้โลกของเราไม่ได้รับผลกระทบจากการเกิดซูเปอร์โนวามากนัก นอกเสียจากละอองดาวที่มีลักษณะคล้ายกับฝุ่นผง ผ่านเข้ามาในชั้นบรรยากาศของโลก และได้ตกลงสู่พื้นโลกของเรา
ละอองดาวเหล่านี้ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนบกมากนัก เนื่องจากเกิดการกระจายตัวไม่ได้กระจุกตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่ง แต่เมื่อละอองดาวตกลงในมหาสมุทรจะเกิดผลเสียต่อระบบนิเวศอย่างใหญ่หลวง สิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ที่อาศัยอยู่ใต้ท้องทะเล หลายสายพันธุ์จะต้องตายหรืออาจถึงขั้นสูญพันธุ์เลยด้วยซ้ำ นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่า Iron-60 อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลในยุคไพลสโตซีนต้องสูญสิ้น 
Iron-60

เนื่องจากผลการวิเคราะห์ตัวอย่าง Iron-60 พบว่าตรงกับยุคสมัยนั้นพอดี อย่างไรก็ดีนักวิทยาศาสตร์ระบุเพิ่มเติมว่า “การระเบิดของดวงดาวซึ่งก่อให้เกิดละอองดาว เมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมาไม่ได้ส่งผลกระทบในระยะสั้น แต่มันกินเวลายาวนานถึง 800,000 ปี”
ลองจินตนาการดูว่าในช่วงเวลาที่มหาสมุทรต้องปนเปื้อนตะกอน Iron-60 เป็นเวลาที่นานขนาดนั้น สิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลจะสูญสิ้นมากขนาดไหน?

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2561

5 ภาพปริศนาที่ใช้ยืนยันว่าอีกด้านของดวงจันทร์ อาจมีสิ่งมีชีวิตต่างดาวอาศัยอยู่

สื่อนอกเผย 5 ภาพปริศนาที่ใช้ยืนยันว่าอีกด้านของดวงจันทร์ อาจมีสิ่งมีชีวิตต่างดาวอาศัยอยู่ ใครจะหาคำตอบได้บ้างว่ามันคืออะไร
👉รัฐบาลมะกันต้องมีคำตอบ สื่อนอกเผย 5 ภาพปริศนาที่ใช้ยืนยันว่าอีกด้านของดวงจันทร์….อาจมีสิ่งมีชีวิตต่างดาวอาศัยอยู่ เห็นแล้วนึกถึงหนังเรื่อง Transformer 3 Dark of The Moon เลยอ่ะ
สิ่งปลูกสร้างบนดวงจันทร์ : หนึ่งในภาพถ่ายที่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้ว่า อีกมุมหนึ่งของดวงจันทร์ถูกยึดครองโดยมนุษย์ต่างดาว คือภาพถ่ายนี้ ซึ่งเป็นภาพถ่ายในภารกิจการสำรวจดวงจันทร์ของนักบินอวกาศของโครงการอพอลโล 11 จากภาพคือสิ่งปลูกสร้างที่เชื่อว่าอาจเป็นสิ่งปลูกสร้างจากน้ำมือ
ของมนุษย์ต่างดาว
👉หอคอยปริศนาบนดวงจันทร์ : อีกหนึ่งภาพที่สามารถใช้ยืนยันว่าดวงจันทร์อาจมีสิ่งมีชีวิตต่างดาวอาศัยอยู่ ภาพนี้ถ่ายจากด้านขวาของหลุมอุกาบาตที่มีชื่อว่า ”Zeeman Crater” ที่ด้านไกลของดวงจันทร์จะมีภาพที่เชื่อว่าอาจเป็นหอคอยที่ถูกสร้างขึ้นโดยสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา
👉ซากเมืองโบราณบนดวงจันทร์ : อย่างที่ทราบกันดีว่าดวงจันทร์เป็นดาวเคราะห์และบริวารของโลกที่เต็มไปด้วยปริศนามากมายไม่แพ้ดาวดังคาร ที่นักดาราศาสตร์เชื่อว่ามีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่

และนี่คืออีกหนึ่งภาพที่แสดงให้เห็นถึงสิ่งปลูกสร้างที่คล้ายกับเมืองโบราณบนดวงจันทร์ที่ตั้งอยู่อีกฝากหนึ่งของดวงจันทร์
👉พีระมิดบนดวงจันทร์ : ก่อนหน้านั้นเคยมีข่าวคราวเกี่ยวกับการค้นพบพีรามิดบนดาวอังคารที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับพีรามิดที่ประเทศอียิปต์ เป็นไปได้หรือไม่ว่าสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวอาจเป็นหลักฐานความก้าวหน้าทางวิทยาการของมนุษย์ต่างดาวที่เคยสอนให้กับบรรพบุรุษของเราเมื่ออดีตกาล เช่นเดียวกับที่บนดวงจันทร์ ที่มีภาพถ่ายพิรามิดที่มีรูปทรงคล้ายคลึงกับพีรามิดที่อียิปต์
👉หอคอยสีขาวบนดวงจันทร์ : ปิดท้ายด้วยภาพนี้ นี่คือภาพที่นักบินอพอลโล 11 สามารถบันทึกได้ขณะเหยียบเท้าลงบนดวงจันทร์ ภาพนี้ถูกตั้งชื่อว่า ”หอคอยสีขาว” ที่เปล่งประกายแสงราวกับเป็นการต้อนรับการมาเยือนของมนุษย์โลก เห็นแล้วคงได้แต่ตั้งคำถามว่า หากมันเป็นเรื่องจริง เป็นไปได้หรือไม่ว่านักบินอพอลโล 11 อาจเข้าไปสำรวจและล่วงรู้ความลับบางอย่างที่ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณชนได้

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2561

นักวิจัยเตือนภัยอุกกาบาตที่ทำให้โลกกลายเป็นยุคน้ำแข็งเมื่อหมื่นปีก่อน อาจเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2030

ทฤษฎีชวนตะลึง! นักวิจัยเตือนภัย ‘อุกกาบาต’ ที่ทำให้โลกกลายเป็นยุคน้ำแข็งเมื่อหมื่นล้านปีก่อน อาจเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2030
ทฤษฎีที่ว่าโลกนี้อาจถูกกวาดล้างด้วยอุกกาบาตหรือดาวหางเช่นเดียวกับเมื่อราว 13,000 ปีก่อนอาจเกิดขึ้นอีกครั้ง หลังนักเขียนและนักโบราณรายหนึ่งอ้างว่า อีกราว 13 ปีข้างหน้าโลกอาจเผชิญกับหายนะที่เลวร้ายที่สุดอีกครั้ง!

Graham Hancock นักเขียนและนักวิจัยได้เขียนหนังสือ (Magicians of the Gods ปี 2015) ที่ว่าด้วยการถึงจุดจบของโลกด้วยอุกกาบาตเช่นเดียวกับเมื่อหมื่นปีก่อน! ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้อ่านเป็นจำนวนมาก แม้อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อแต่เขาได้ทำให้การวิจัยด้วยตัวเองโดยการเก็บข้อมูลจากโบราณสถานและข้อมูลในอดีตจากทั่วโลกมาเป็นข้อยืนยันด้วย

Graham Hancock เชื่อว่าสิ่งที่โลกต้องกังวลคือ “การโคจรของดาวหางเองเคอ” (Comet Encke) ที่อาจพุ่งเข้าชนโลกได้ในปี 2030 ซึ่งสอดคล้องกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่พบจากโบราณสถาน Göbekli Tepe อารามที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ถูกพบในตุรกี ร่องรอยสัญลักษณ์บนเสาหินถูกจับคู่กับสัญลักษณ์ทางดาราศาสตร์ ซึ่งพบว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อราว 10,950 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนจะนำมาโยงกับการปรากฏการณ์ดาวหางที่พุ่งชนโลกราวหมื่นปีก่อนที่ทำให้อารยธรรมเก่าแก่ในอดีตหายสาบสูญไป
นักเขียนรายนี้ยังอ้างถึง ข้อความทางดาราศาสตร์ที่ถูกจารึกสุสานสฟิงซ์และพีระมิดโบราณในอียิปต์ถึง “เหตุการณ์ดาวหางชนโลกเมื่อครั้งอดีตจะกลับมาเกิดในยุคปัจจุบันอีกครั้ง” เขาคาดว่ามันอาจจะเกิดขึ้นอีก 13 ปีข้างหน้าหรือปี 2030 โดยประมาณ ซึ่งหากมันเกิดขึ้นจริงดาวหางขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 30 กิโลเมตร จะกวาดล้างเกือบทุกชีวิตบนโลก และทำให้เกิดปรากฏการณ์ Younger Dryas หรือ การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอย่างฉับพลันที่จะทำให้โลกกลับไปสู่ยุคน้ำแข็งอีกครั้ง!
อย่างไรก็ตามนี้เป็นเพียงทฤษฎีของนักเขียนภายในหนังสือของเข้าเท่านั้น แต่ก็ถือว่าเป็นทฤษฎีที่น่าสนใจแต่ยังขาดข้อมูลทางวิทยาศาสตร์รองรับไปอยู่บ้าง จึงไม่ต้องวิตกกังวลกันไป ยังไงมันคงไม่เกิดในเร็วๆ นี้หรอกหวังว่าอย่างนั้น
Younger Dryas 

วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ปริศนาหินลึกลับสีฟ้า

ปริศนา! ‘หินลึกลับสีฟ้า’ อายุหลายหมื่นปีที่ไม่มีใครเคยพบหรือรู้จักมาก่อน หรือนี่อาจเป็นอารยธรรมที่สาบสูญในแอฟริกา
อัญมณีลึกลับที่ไม่มีใครรู้จักนี้มีชื่อว่า ‘Skystone’ หรือ ‘หินสีฟ้าลึกลับ’ (Mysterious Blue Stone) ถูกพบโดย Angelo Pitoni นักธรณีวิทยาชาวอิตาลี ที่ถูกว่าจ้างให้เดินทางไปสำรวจยังเซอร์ราลีโอนใกล้ชายแดนประเทศกินี เมื่อปี 1990 หนึ่งในดินแดนแห่งอัญมณีล้ำค่า จากนายจ้างรายหนึ่งเพื่อหาทำเลลงทุน แต่แล้วการเดินทางครั้งนี้มันได้เปลียนชีวิตเขาไปตลอดกาล

ในระหว่างที่กำลังสำรวจบริเวณชายแดนของประเทศเซียร์ราลีโอนเมืองโคนาครีของกีนี หนึ่งในทีมงานได้พบกับวัตถุปริศนาจึงเรียกเขาไปดู และเมื่อไปถึงเขาก็แปลกใจอย่างมากเพราะมันเป็นก้อนหินสีฟ้าใสที่เหมือนกับน้ำทะเล นับเป็นสิ่งแปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมา

เมื่อกลับมายังยุโรปเขานำหินลึกลับนี้ ไปให้กับสถาบันวิทยาศาสตร์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์, ประเทศอิตาลี, ประเทศเนเธอร์แลนด์, ประเทศญี่ปุ่นทำการตรวจสอบ ทั้งหมดให้ข้อมูลตรงกันว่าเป็นแร่ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ซึ่งสีของหินก้อนของมันไม่เหมือนก้อนหินชนิดไหน ๆ (มีลักษณะเหมือนก้อนหินมากกว่าอัญมณีอย่าง เพชร หรือพลอย) โดยมีองค์ประกอบของออกซิเจนสูงกว่า 77 เปอร์เซ็นต์ และส่วนประกอบอื่นๆ อย่างคาร์บอน ซิลิคอน แคลเซียม อีกอย่างละเล็กน้อย นักวิจัยได้ทำการตรวจสอบสารประกอบอินทรีย์ภายในก้อนหินลึกลับนี้ ซึ่งคาดว่ามันมีอายุถึง 15,000 – 55,000 ปี ทำให้แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังตั้งคำถามว่าแล้วมันมาจากไหน และเกิดขึ้นได้อย่างไร?
นักทฤษฎีได้ออกมาตั้งสมมติฐานเกี่ยว ‘สกายสโตน’ เอาไว้ว่า มันอาจเป็นร่องรอยของอารยธรรมที่สาบสูญไปในดินแดนเซียร์ราลีโอนก็เป็นได้ หรืออาจจะเป็นแร่ธาตุที่มาจากนอกโลก ก็ยังไม่มีใครฟันธงได้ จนทุกวันนี้เรื่องราวของก้อนหินลึกลับสีฟ้าก็ยังเป็นปริศนา และยังไม่มีใครพบหินในลักษณะเดียวกันนี้อีกเลย
Skystone

ปริศนาภาพถ่ายมาร์สเฮนจ์กองหินลึกลับบนดาวอังคาร

ปริศนาภาพถ่าย! ‘มาร์สเฮนจ์’ กองหินลึกลับบนดาวอังคารที่ดูคล้าย ‘สโตนเฮนจ์’ ของอังกฤษแบบไม่น่าเชื่อ
ย้อนกลับไปเมื่อปีค.ศ. 2015 สื่อต่างประเทศรายงานว่า ยานสำรวจ Curiosity Rover ที่องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ นาซา (NASA) ส่งไปสำรวจดาวอังคาร สามารถถ่ายภาพ ‘แท่นหิน’ ปริศนาที่ตั้งอยู่บนพื้นผิวของดาวอังคารได้ ซึ่งมันน่าสนใจตรงที่ว่า แท่นหินเหล่านี้มีลักษณะการวางตำแหน่งของหินแต่ละก้อนดูคล้าย ‘สโตนเฮนจ์’ (Stonehenge) โบราณสถาน 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ตั้งอยู่ในประเทศอังกฤษไม่มีผิดเพี้ยน! เรียกแท่นหินปริศนานี้ว่า ‘มาร์สเฮนจ์’ (Marshenge)
ภาพของ ‘มาร์สเฮนจ์’ ถ่ายโดยกล้องถ่ายภาพความละอียดสูง หรือ High Resolution Imaging Science Experiment (HiRISE) ที่ติดตั้งอยู่บนยานสำรวจ Curiosity Rover ในภาพเผยให้เห็นถึงการจัดวางตำแหน่งของหินที่มีลักษณะเป็นวงกลมสองวงซ้อนกันอยู่ กึ่งกลางด้านในวงกลมทั้งสองมีแท่นหินที่วางตำแหน่งเป็นแนวสี่เหลี่ยม ซึ่งการจัดวางในลักษณะนี้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ดูคล้าย ‘สโตนเฮนจ์’ มาก!

นอกจากนั้นมีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า ผู้ที่สร้าง ‘สโตนเฮนจ์’ อาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาที่มาจากดาวอังคาร โดยหลังจากที่พวกเขาสร้าง ‘มาร์สเฮนจ์’ เสร็จแล้ว พวกเขาอาจจะเดินทางมายังโลก เพื่อสร้าง ‘สโตนเฮนจ์’ ก็เป็นได้ หรือไม่พวกเขาอาจจะแค่มาเผยแพร่นวัตกรรมการสร้างให้กับมนุษย์โลก แล้วก็จากไปยังดาวดวงใหม่ ทิ้งดาวอังคารไว้พร้อมกับผลงานการสร้าง ‘มาร์สเฮนจ์’ อันเปรียบเสมือนอนุสรณ์สถานถึงการมีตัวตนของพวกเขานั่นเอง!
อย่างไรก็ตาม มีผู้ออกมาเห็นต่างว่า ‘มาร์สเฮนจ์’ เกิดจากจินตนาการหรือการ ‘มโน’ ของผู้ที่เห็นภาพเสียมากกว่า แท้จริงแล้วภาพนี้เป็นเพียงภาพของกลุ่มหินธรรมดาๆ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หาใช่ฝีมือของ ‘มนุษย์ต่างดาว’ ไม่ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการมโนถึงสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร ก่อนหน้านี้ก็มีภาพในลักษณะนี้ออกมาทั้งภาพที่ดูคล้ายแมงมุม ปู หรือภาพผู้หญิงสวมชุดสีดำยืนอยู่บนดาวอังคาร ซึ่งเมื่อทำการพิสูจน์แล้วทุกภาพล้วนเป็นภาพลวงตาทั้งสิ้น! ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนที่จินตนาการออกมานั่นเอง
เรียบเรียง : เหยินศักดิ์

วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2561

บรรยากาศดาวยูเรนัส ห่อหุ้มด้วยกลิ่นเน่าเสีย

บรรยากาศดาวยูเรนัส ห่อหุ้มด้วยกลิ่นเน่าเสีย
ดาวยูเรนัส (Uranus) เป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะของเรา ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 7 และมีชื่อเรียกที่ไม่ชวนพิสมัยนักว่า “ดาวมฤตยู” และเมื่อสืบค้นองค์ประกอบบนดวงดาวครั้งล่าสุดโดยทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ ในประเทศอังกฤษ เผยว่าชั้นบรรยากาศของดาวยูเรนัสนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นเน่าเหม็นน่าขยะแขยงสุดๆ

ทั้งนี้ เมื่อปี พ.ศ.2529 องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือองค์การนาซา ได้ส่งยานอวกาศวอยเอเจอร์ 2 (Voyager 2) ไปทำภารกิจบินสำรวจอย่างใกล้ชิดที่ดาวยูเรนัส แต่ในช่วงเวลานั้นเครื่องไม้เครื่องมือยังไม่อาจตรวจสอบและไม่สามารถระบุเกี่ยวกับองค์ประกอบของชั้นบรรยากาศดาวยูเรนัสได้อย่างชัดเจน 

ว่ากลุ่มเมฆที่หุ้มรอบดวงดาวนั้นมีส่วน ประกอบอะไรบ้างระหว่างแอมโมเนียและไฮโดร-เจนซัลไฟด์ แต่ทีมนักวิทยาศาสตร์กลุ่มปัจจุบันที่เฝ้าติดตามดูดาวยูเรนัสผ่านกล้องโทรทรรศน์เจมิไน นอร์ธ (Gemini North) ที่ตั้งอยู่บนภูเขาไฟเมานาเคอา รัฐฮาวาย ในสหรัฐอเมริกา เผยว่า เมื่อศึกษาถึงองค์ประกอบและการก่อตัวของดาวแล้ว ในที่สุดก็ไขคำตอบได้ว่าบรรยากาศชั้นบนสุดของดาวยูเรนัส มีไฮโดรเจนซัลไฟด์เป็นองค์ประกอบหลัก ซึ่งเป็นสารเคมีที่ทำให้ไข่เน่า 
ทำให้ดาวก๊าซยักษ์ดวงนี้เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นโชย แต่องค์ประกอบส่วนใหญ่ที่ชั้นล่างของดาวยูเรนัสก็ยังเป็นก๊าซไฮโดรเจน ฮีเลียม และมีเทนเรียกว่าหากใครตกลงไปบนดาวนี้นับว่าโชคร้ายยิ่งนัก แค่ผจญกลิ่นตรงชั้นบรรยากาศก็พะอืดพะอมทนไม่ไหวจะแย่แล้ว.

ก๊าซมีเทนแข็งตัวบนเนินทรายของดาวพลูโต

ก๊าซมีเทนแข็งตัวบนเนินทรายของดาวพลูโต
ยานอวกาศนิว ฮอไรซันส์ (New Horizons) ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือองค์การนาซา ที่ส่งไปสำรวจธรณีสัณฐานของดาวพลูโตและแถบไคเปอร์ที่อยู่สุดขอบจักรวาล 

ได้เผยภาพถ่ายที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์แปลกใจเป็นอย่างมาก นั่นคือพบก๊าซมีเทนแช่แข็งเป็นเหมือนเม็ดผลึกอยู่บนเนินทรายที่ผิวดาวพลูโต ในบริเวณที่ราบรูปหัวใจชื่อสปุตนิก พลานิเทีย (Sputnik Planitia)
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยพลีมัธ ในประเทศอังกฤษ 
เผยว่านี่คือการตรวจพบสิ่งแปลกใหม่บนดาวที่มหัศจรรย์ที่สุดแห่งหนึ่งของระบบสุริยะ เนินทรายมีขนาดประมาณ 2,000 ตารางกิโลเมตร เทียบเท่ากับกรุงโตเกียวของญี่ปุ่น แต่การเกิดเนินทรายและคงสภาพเป็นเนินได้นั้น เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งข้อสงสัย เนื่องจากดาวพลูโตมีชั้นบรรยากาศที่เบาบางมาก องค์ประกอบส่วนใหญ่ก็เป็นก๊าซไนโตรเจน มีเทน และคาร์บอนมอนอกไซด์เพียงเล็กน้อย จึงไม่น่าจะก่อเกิดลมที่จำเป็นต่อการสร้างเนินทรายลักษณะดังกล่าวได้
ทั้งนี้ ดาวพลูโตมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2,380 กิโลเมตร โคจรรอบดวงอาทิตย์ระยะทางประมาณ 5,800 ล้านกิโลเมตร อยู่ห่างออกไปเกือบ 40 เท่าของวงโคจรของโลก พื้นผิวดาวเป็นที่ราบสูง หลุมอุกกาบาต และหุบเขา อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ได้กำหนดความสูงของเนินทราย แต่คาดเดาว่าอาจมีความสูงไม่ถึง 10 เมตร.

ดวงจันทร์ไททันมีน้ำมันและก๊าซ สำรองมากกว่าโลก

ดวงจันทร์ไททันมีน้ำมันและก๊าซสำรองมากกว่าโลก
หลังจากการจากไปของยานอวกาศแคสสินีที่ถูกปล่อยไปทำภารกิจสำรวจดาวเสาร์ โดยยานได้เผาไหม้ตัวเองและจมลงสู่ดาวดวงดังกล่าวเมื่อปีที่ผ่านมา ระยะเวลาถึง 20 ปีของการโคจรรอบดาวแห่งวงแหวนนั้น ยานแคสสินีได้ส่งข้อมูลมากมายมอบให้กับนักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ในโลก ล่าสุดองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือองค์การนาซา เผยว่า ดวงจันทร์ไททัน ที่เป็นบริวารและโคจรรอบดาวเสาร์นั้น มีแหล่งน้ำมันและก๊าซสำรองอยู่มากกว่าโลกเสียอีก

ปริมาณก๊าซสำรองในธรรมชาติของโลกเรามีมากกว่า 300 เท่าของพลังงานที่ใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นการทำความร้อน ทำความเย็น และผลิตไฟฟ้าส่องสว่างตามที่อยู่อาศัย แต่ปริมาณน้ำมันและก๊าซสำรองของดวงจันทร์ไททันมีมากกว่าโลกหลายร้อยเท่า เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยมีเทนเหลวและอีเทนอยู่บนพื้นผิว 

ทั้งนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่ควบคุมยานแคสสินีจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ เคยเปรียบว่าดวงจันทร์ไททันปกคลุมด้วยวัสดุที่ผลิตคาร์บอนก็เหมือนกับโรงงานอินทรีย์เคมีขนาดยักษ์ และปริมาณก๊าซคาร์บอนอันมหาศาลนี้ถือเป็นหน้าต่างบานสำคัญในการศึกษาทางธรณีวิทยาและสภาพภูมิอากาศดั้งเดิมของดวงจันทร์ดังกล่าว
ทั้งนี้ ดวงจันทร์ไททันอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เกือบ 1,000 ล้านกิโลเมตร และมีขนาดใหญ่กว่าดวงจันทร์ของโลกเพียงเล็กน้อย พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นน้ำแข็ง โดยได้รับแสงแดดประมาณ 1% เมื่อเทียบกับที่โลกได้รับ แต่มีการตั้งข้อสังเกตว่าผิวมีน้ำแข็งและหินซึ่งมีสภาพแวดล้อมคล้ายโลกของเรา.

นักดาราศาสตร์ยันดวงจันทร์ที่ 2 ไม่ใช่ขยะอวกาศ

นักดาราศาสตร์ยันดวงจันทร์ที่ 2 ไม่ใช่ขยะอวกาศ
เมื่อเดือนเมษายนปี พ.ศ. 2559 องค์การบริหารการบินและ อวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกาหรือองค์การนาซา ได้ประกาศการค้นพบบริวารเสมือน หรือดวง จันทร์ดวงที่ 2 ของโลก (quasi-satellite) 
โดยตั้งชื่อว่า (469219) 2016 HO3 ซึ่งพบว่าวัตถุบนฟ้าดวงนี้โคจรหมุนวนไปรอบๆ โลกเช่นเดียวกับดวงจันทร์ที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ เพียงแต่ดวงจันทร์ดวงที่ 2 นี้อยู่ไกลเกินไปกว่าจะได้รับการพิจารณาให้เป็นดวงจันทร์บริวารของโลกอีกดวง ทว่ามีเสถียรภาพพอจะนับเป็นสหายเดินทางคู่โลกมานานหลายศตวรรษ
นักดาราศาสตร์ส่วนใหญ่สงสัยว่าวัตถุ (469219) 2016 HO3 นั้น คืออะไรกันแน่ ระหว่างดาวเคราะห์น้อยธรรมดาๆ กับขยะอวกาศ 

แต่ในที่สุดก็มีนักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา มาไข ความกระจ่างหลังจากที่ใช้กล้องสองตาขนาดใหญ่ (The Large Binocular Telescope-LBT) บนยอดเขาแกรแฮม ทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐอริโซนา ส่องศึกษาลักษณะที่แท้จริงของวัตถุดังกล่าวซึ่งพบว่ามีการหมุนวนทุก 28 นาที และมีองค์ประกอบคล้ายกับดาวเคราะห์น้อยและไม่ใช่ขยะอวกาศแน่ๆ
แม้จะยังไม่แน่ใจว่าวัตถุนี้มาจากที่ใด 
แต่ข้อสังเกตใหม่เชื่อว่า (469219) 2016 HO3 เป็นวัตถุธรรมชาติที่มีต้นกำเนิดคล้ายกับดาวเคราะห์น้อยหรือดาวหางที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ และมีวงโคจรใกล้กับโลกที่เรียกว่า Near-Earth-Objects หรือ NEOs ซึ่งเป็นสิ่งที่นักดาราศาสตร์จำเป็นต้องให้ความสนใจเพื่อคำนวณอย่างแม่นยำเร่งด่วนว่าวัตถุบนฟ้าดังกล่าวมีโอกาสจะพุ่งชนโลกหรือไม่.

ดวงจันทร์ยูโรปาอาจเอื้อต่อสิ่งมีชีวตอาศัยอยู่

ดวงจันทร์ยูโรปาอาจเอื้อต่อสิ่งมีชีวตอาศัยอยู่
องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติหรือองค์การนาซาเคยส่งยานอวกาศกาลิเลโอ (Galileo) ไปสำรวจดาวพฤหัสบดีและดวงจันทร์บริวารระหว่างปี พ.ศ.2540 ซึ่งได้เก็บข้อมูลเกี่ยวกับดวงจันทร์ยูโรปาหนึ่งในบริวารของดาวพฤหัสบดีมามากมาย ทว่ายังไม่ได้ศึกษาอย่างลึกซึ้งนัก จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้นักวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์จากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ในสหรัฐอเมริกา นำเอาข้อมูลมาศึกษาอีกครั้งและเผยว่าดวงจันทร์ยูโรปาอาจเป็นดาวอีกดวงที่อาจเอื้อต่อสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้

ข้อมูลเก่าที่ได้จากยานอวกาศกาลิเลโอคือพบว่ามีการโค้งงอของสนามแม่เหล็กบนดวงจันทร์ยูโรปา เมื่อมาผนวกกับข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลเมื่อปี พ.ศ.2555 ที่รวบรวมข้อมูลของรังสีอัลตราไวโอเลตและชี้ให้เห็นถึงจุดรวมความร้อน 

ซึ่งเกิดการถ่ายเทพลังงานของมวลที่แข็งและร้อนในชั้นเปลือกดวงจันทร์ เมื่อใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยศึกษาวิเคราะห์ พบว่ามีน้ำพวยพุ่งจากผิวดาวขึ้นสู่อากาศ นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าบนดวงจันทร์ยูโรปามีส่วนประกอบมากมายที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิต เช่น น้ำ พลังงาน และก๊าซคาร์บอน การพบน้ำพุพวยพุ่งขึ้นมาทำให้เชื่อว่าอาจมีมหา- สมุทรอยู่ข้างใต้และเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ เนื่องจากอุณหภูมิอุ่นและได้รับการปกป้องจากสภาพแวดล้อมที่เป็นเปลือกน้ำแข็งบนผิวดาว
ทั้งนี้ องค์การนาซาจะวางแผนใช้ยานอวกาศยูโรปา คลิปเปอร์ (Europa Clipper) ไปสำรวจดวงจันทร์ยูโรปา เพื่อหาสัญญาณของจุลินทรีย์ในมหาสมุทรบนดวงจันทร์ดวงนี้ ช่วงเดือน มิ.ย.ปี พ.ศ.2565

การพบน้ำพุบนผิวดวงจันทร์ยูโรปา จะหนุนต่อการศึกษาสิ่งมีชีวิตนอกโลก

การพบน้ำพุบนผิวดวงจันทร์ยูโรปา จะหนุนต่อการศึกษาสิ่งมีชีวิตนอกโลก
ผอ.สดร. ชี้ การที่นาซาแถลงใหญ่ถึงการพบน้ำพุพ่นออกมาจากพื้นผิวของดวงจันทร์ยูโรปา ยืนยันว่าไม่ใช่แค่โลกที่มีของเหลวเป็นองค์ประกอบ และนำไปสู่การพัฒนาต่อยอดการศึกษาสิ่งมีชีวิตนอกโลก...
หลังจากที่องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือนาซา (NASA) แถลงข่าวยืนยันการพบน้ำพุพ่นออกมาจากพื้นผิวของดวงจันทร์ยูโรปา โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่วิเคราะห์ข้อมูลจากยานกาลิเลโอที่บันทึกไว้เมื่อ 21 ปีก่อน และภาพถ่ายจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลประกอบกัน คาดอาจส่งผลให้การสำรวจเก็บตัวอย่างน้ำและอนุภาคต่างๆ บนดวงจันทร์ยูโรปาเป็นไปได้ง่ายขึ้น เตรียมส่งยานสำรวจประมาณปี 2563 เป็นต้นไป
เมื่อปี 2555 กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลได้บันทึกภาพดวงจันทร์ยูโรปาที่กำลังพ่นบางสิ่งออกไปในอวกาศเป็นระยะทางถึง 200 กิโลเมตร นักวิจัยส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นน้ำจากใต้ผิวน้ำแข็งที่ถูกพ่นออกมา แต่ด้วยขีดจำกัดทางเครื่องมือทำให้ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าบางสิ่งบางอย่างที่กำลังพวยพุ่งออกมาจากพื้นผิวของมันคืออะไร

การวิจัยในครั้งนี้นำทีมโดย ดร.เซียนจือ เจีย นักฟิสิกส์อวกาศ จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา ยืนยันว่ามีน้ำพุพุ่งออกมาจากผิวของดวงจันทร์ยูโรปาจริง โดยใช้ข้อมูลจากยานกาลิเลโอที่บันทึกไว้เมื่อ 21 ปีที่แล้ว 

ภารกิจของยานกาลิเลโอ เป็นภารกิจสำรวจดาวพฤหัสบดีและดวงจันทร์บริวารระหว่างปี 2538 ถึง 2546 ซึ่ง ดร.เซียนจือ เจีย พบว่าในปี 2540 ยานกาลิเลโอได้บินเข้าใกล้ดวงจันทร์ยูโรปาที่ระยะห่างเพียง 200 กิโลเมตร ข้อมูลที่ยานกาลิเลโอบันทึกไว้เป็นค่าสนามแม่เหล็กของดวงจันทร์ยูโรปา พบตำแหน่งที่มีการแปรปรวนของข้อมูลอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งการแปรปรวนของข้อมูลในลักษณะนี้ เป็นแบบเดียวกันกับที่พบในการสำรวจน้ำพุของดวงจันทร์เอนซาลาดัสของดาวเสาร์ จึงนำข้อมูลนี้มาวิเคราะห์ใหม่อีกครั้งด้วยเทคโนโลยีและวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลที่ทันสมัย ประกอบกับภาพถ่ายจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล เมื่อปี 2555 ทำให้ได้ผลสรุปที่ชัดเจนว่าพื้นผิวของดวงจันทร์ยูโรปามีน้ำพุพ่นออกมา

การค้นพบครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากน้ำจากภายในชั้นมหาสมุทรใต้ผิวน้ำแข็งหนาทึบสามารถพุ่งออกมาภายนอกได้ การจะสำรวจและเก็บตัวอย่างของน้ำก็จะเป็นเรื่องที่ทำได้สะดวกมากยิ่งขึ้น เพราะไม่จำเป็นต้องเจาะลงไปถึงชั้นมหาสมุทร อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็นว่ายังมีข้อมูลอีกมากมายที่รอการตรวจสอบและค้นพบ หากนำเทคโนโลยีและวิธีการที่ทันสมัยมาใช้ในการวิเคราะห์ก็อาจจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไปจากในอดีตได้
นาซาจะเริ่มภารกิจสำรวจดวงจันทร์ยูโรปาอีกครั้งภายใต้ชื่อภารกิจว่า ยูโรปาคลิปเปอร์ (Europa Clipper) ประมาณปี 2563 เป็นต้นไป วางแผนให้ยานอวกาศเข้าใกล้ดวงจันทร์ยูโรปาถึง 40 ครั้ง มีระยะห่างตั้งแต่ 100 กิโลเมตรจนถึง 15 กิโลเมตร ซึ่งจะเป็นการบินเฉียดที่ใกล้ที่สุดและจงใจให้บินผ่านตำแหน่งที่มีการพ่นน้ำออกมา เพื่อเก็บตัวอย่างของน้ำและอนุภาคต่างๆ นำมาวิเคราะห์ต่อไป
ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ หรือ สดร. กล่าวว่า การค้นพบน้ำพุบนดวงจันทร์ยูโรปาครั้งนี้ เป็นอีกหลักฐานสำคัญที่ยืนยันว่าโลกไม่ใช่ดาวเคราะห์แห่งเดียวที่มีของเหลวและมีองค์ประกอบทางเคมีที่เอื้อต่อสิ่งมีชีวิต เช่นเดียวกับการค้นพบร่องรอยของแหล่งน้ำบนดาวอังคารและมหาสมุทรบนดวงจันทร์เอนเซลาดัส ดวงจันทร์บริวารของดาวเสาร์ ที่เคยค้นพบมาก่อนหน้านี้ ข้อมูลดังกล่าวจะสามารถนำมาวิเคราะห์และวางแผนการสำรวจเกี่ยวกับตำแหน่งของน้ำพุและการโคจรรอบดวงจันทร์ยูโรปา นำไปสู่การวางแผนพัฒนาภารกิจยูโรปาคลิปเปอร์หลังปี 2563 เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีต่อยอดไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อศึกษาหาคำตอบเกี่ยวกับการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตนอกโลก
สำหรับ ดวงจันทร์ยูโรปา เป็นดวงจันทร์บริวารของดาวพฤหัสบดี มีขนาดเล็กกว่าดวงจันทร์ของโลกเล็กน้อย พื้นผิวเป็นน้ำแข็งที่มีความเรียบมาก ความเรียบในระดับนี้บ่งชี้ว่ามันมีความเปลี่ยนแปลงเชิงธรณีวิทยาทำให้ร่องรอยอุกกาบาตต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นเลือนหายไป (ในขณะที่ดวงจันทร์ของโลกเราไม่มีความเปลี่ยนแปลงเชิงธรณีวิทยาใดๆ ทำให้รอยอุกกาบาตที่เกิดขึ้นไม่เลือนหายไป) 
นอกจากนี้หลักฐานจำนวนมาก เช่น ลักษณะของเปลือกที่เป็นน้ำแข็ง น้ำพุที่พุ่งออกมาจากผิวที่ความสูงกว่า 200 กิโลเมตรจากพื้นผิว ทำให้นักดาราศาสตร์มั่นใจว่าภายใต้เปลือกน้ำแข็งประมาณ 170 กิโลเมตร มีชั้นของมหาสมุทรอยู่ ดวงจันทร์ยูโรปาถูกค้นพบในปี พ.ศ.2153 โดยสุดยอดนักดาราศาสตร์โลกชาวอิตาลี กาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei).

ดวงจันทร์กำลังเคลื่อนตัวออกห่างโลกของเรา ทำ1วันนานขึ้น

ใจหาย! ดวงจันทร์กำลังเคลื่อนตัวออกห่างโลกของเรา ทำ1วันนานขึ้น
ทีมนักธรณีวิทยาสหรัฐฯ เผยผลการศึกษาใหม่ พบดวงจันทร์ กำลังเคลื่อนตัวออกห่างจากโลก ทำให้เวลาในแต่ละวันบนโลกนานกว่าเดิม ชี้เมื่อ 1.4 พันล้านปีที่แล้ว เวลาใน 1วันบนโลก อยู่ที่เพียง 18 ชม.
เว็บไซต์ the sun รายงาน ศ.สตีเฟน เมเยอร์ส ศาสตราจารย์ด้านธรณีวิทยาสหรัฐฯ ประจำมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน เผยผลการศึกษาใหม่ พบดวงจันทร์ ดาวบริวารของโลกกำลังเคลื่อนตัวขยับห่างจากโลกของเราไปเรื่อยๆ เฉลี่ยแล้วห่างออกไปปีละ 3.82 เซนติเมตร ซึ่งจะส่งผลให้เวลาในหนึ่งวันบนโลกยาวนานขึ้น

ขณะเดียวกัน ผลการศึกษาได้ดับความกังวลของผู้คนบนโลกว่าไม่ต้องเป็นห่วงถึงเวลาในแต่ละวันที่จะนานขึ้น เพราะกว่าที่เวลาบนโลกจะนานขึ้นอีก 1 ชม.นั้น ต้องใช้เวลายาวนานถึง 200 ล้านปีเลยทีเดียว ขณะที่จากการศึกษาของทีมนักธรณีวิทยาทีมนี้ ยังระบุว่า เมื่อประมาณ 1.4 พันล้านปีที่แล้ว เวลาใน 1 วันบนโลก อยู่ที่เพียง 18 ชั่วโมงเท่านั้น อันเป็นผลมาจาก เพราะโลกโคจรรอบตัวเองเร็วกว่าปัจจุบัน และดวงจันทร์โคจรใกล้โลกมากกว่านี้  ซึ่งมีผลต่อการโคจรรอบตัวเองขอโลก

ทั้งนี้ ปัจจุบัน ดวงจันทร์เคลื่อนรอบโลกจากตะวันตกไปตะวันออก ในทิศทางเดียวกับการหมุนรอบตัวของโลก ดวงจันทร์เคลื่อนตัวรอบโลก 1 รอบ เป็นมุม 360 องศา ใช้เวลา 27.3 วัน

รายการบล็อกของฉัน