Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2560

การติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว


การติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว
Claudius Ptolemy คือนักดาราศาสตร์ชาติกรีก ผู้เคยมีชีวิตอยู่ในสมัยพุทธศตวรรษที่ 7 เขามีความเชื่อว่าโลกของเราคือ จุดศูนย์กลาง ของจักรวาล และดาวทุกดวงโคจรรอบโลก คำสอนนี้ได้เป็นที่ยอมรับกันมานานกว่าหนึ่งพันปี จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2086 (สมัยพระชัย ราชา) 

เมื่อ Nicolaus Copernicus ชาวโปแลนด์ ได้กล่าวแย้งว่าดวงอาทิตย์ต่างหากที่เป็นศูนย์กลางหาใช่โลกไม่ และเมื่อ Galilei Galileo ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ที่เขาประดิษฐ์ขึ้นส่องดูดาวบนฟ้า เขาได้เห็นเทือกเขาบนดวงจันทร์ เห็นปรากฎการณ์ข้างขึ้นข้างแรม ของดาวศุกร์เห็นจุดดับบนดวงอาทิตย์และเห็นดวงจันทร์บริวาร 4 ดวงของดาวพฤหัสบดี เขาจึงกล่าวยืนยันว่าถ้อยแถลงของ Copernicus คือเรื่องจริง ซึ่งการสนับสนุนเช่นนี้ได้ทำให้วงการศาสนาในสมัยนั้นสั่นสะเทือนมาก เพราะหลักฐานและความเชื่อของ Galileo ขัดแย้งกับคำสอนในศาสนาทุกประการ Galileo จึงถูกคณะตุลาการศาสนากล่าวห้ามมิให้เผยแพร่ความคิดนอกรีตนี้ตลอดชีวิต

นับจากปี พ.ศ.2152 ซึ่งตรงกับสมัยพระเอกาทศรถ จนกระทั่งถึงปีนี้ความรู้และความนึกคิดของมนุษย์ด้านที่เกี่ยวกับจักรวาลได้รับการ ปรับเปลี่ยนอย่างมโหฬาร เช่น เรารู้ว่าจักรวาลกำลังขยายตัวด้วยความเร่งตลอดเวลา และมีอายุประมาณ 12,000 ล้านปี ส่วนสุริยจักรวาล ของเรามีดาวบริวารคือดาวเคราะห์ 9 ดวง ดวงจันทร์ต่างๆ รวม 91 ดวง มีดาวหางและดาวเคราะห์น้อยอีกเป็นจำนวนนับหมื่น นอกจากนี้ ดวงอาทิตย์ก็เป็นเพียงดาวฤกษ์ขนาดเล็กดวงหนึ่งในกาแล็กซีทางช้างเผือก (Milky Way) ที่มีดาวฤกษ์อื่นๆ อีกนับแสนล้านดวง และ กาแล็กซีทางช้างเผือกก็เป็นเพียงกาแล็กซีหนึ่งในกาแล็กซีจำนวนล้านล้านล้านล้านกาแล็กซีที่จักรวาลมี เป็นต้น

อนึ่ง การรู้ว่ากาแล็กซีหนึ่งๆ ประกอบด้วยดาวฤกษ์จำนวนมากถึงหนึ่งแสนล้านดวง ได้ทำให้นักวิทยาศาสตร์หลายคนคิดว่า ถ้าดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นดาวฤกษ์มีโลกที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ได้ ดาวฤกษ์อื่นๆ จำนวนหนึ่งแสนล้านดวงก็น่าจะมีโลกมนุษย์บ้างเช่นกัน นั่นคือ จักรวาลนี้น่าจะมี ดาวที่มีมนุษย์ต่างดาวอาศัยอยู่จำนวนนับแสนล้านโลก โชคดีที่การคิดทำนองนี้ ณ วันนี้ ไม่เป็นภัยต่อคนคิด แต่เมื่อ 401 ปีก่อนเมื่อ Giordano Bruno แถลงว่านอกโลกก็มีมนุษย์อาศัยอยู่ เขาถูกนำตัวไปเผาทั้งเป็น

ในความพยายามค้นหามนุษย์ต่างดาว นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้วิธีการที่หลากหลายเช่น ใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุสำหรับการดักฟังคลื่นวิทยุ ที่นักวิทยาศาสตร์คาดหวังว่า มนุษย์ต่างดาวส่งมาหรือค้นหาดาวเคราะห์ที่มีสภาพเหมือนโลก
กล้องโทรทรรศน์วิทยุที่ Arecibo ในประเทศ Puerto Rico เป็นอุปกรณ์สำคัญชิ้นหนึ่งที่นักดาราศาสตร์ใช้ในการค้นหามนุษย์ ต่างดาว เพราะจานโค้งรับสัญญาณของกล้องซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 305 เมตร สามารถรับคลื่นวิทยุใดก็ตามที่ถูกส่งออกมาจาก กาแล็กซีที่อยู่ห่างจากโลกหนึ่งแสนสี่หมื่นล้านล้านกิโลเมตรได้หมด

แต่การใช้กล้องที่ Arecibo รับสัญญาณก็ใช่ว่าจะทำได้อย่างไร้ปัญหาใดๆ เปรียบเสมือนเวลาต้องการได้ยินเสียงเพื่อนของเราขณะที่เรา อยู่ท่ามกลางฝูงชนจำนวนหมื่น ซึ่งต่างก็ส่งเสียงอึงมี่นั้นเสียงของเขาก็จะปะปนไปกับเสียงคนอื่น จนกระทั่งเราฟังไม่ออก คลื่นวิทยุต่างๆ จากดวงดาวก็เช่นกัน คือมีเป็นล้านๆ คลื่น ดังนั้น การที่จะแบ่งแยกคลื่นๆ เดียวออก จึงเป็นเรื่องที่ยากพอๆ กัน และถ้าเราไม่รู้ความถี่ของ สัญญาณที่ส่งมาเราก็ยิ่งไม่มีทางรับคลื่นนั้นได้เลย

เมื่อประมาณ 40 ปีมาแล้ว Phillip Morrison แห่งมหาวิทยาลัย Cornell ในสหรัฐอเมริกาได้เดาใจมนุษย์ต่างดาวว่า เขาคงส่งคลื่น วิทยุที่มีความถี่ 1,420,405,757 เฮิรตซ์ เพราะคลื่นนี้เป็นคลื่นที่อะตอมของไฮโดรเจนปลดปล่อยออกมา ทั้งนี้ก็โดยเหตุผลที่ว่าจักรวาล มีไฮโดรเจนอุดมสมบูรณ์ที่สุด และดาวทุกดวงต้องมีไฮโดรเจน นอกจากนี้ Morrison ยังให้เหตุผลอีกว่า 

คลื่นวิทยุที่มีความถี่ดังกล่าว สามารถเดินทางผ่านอวกาศที่เวิ้งว้างโดยไม่ถูกฝุ่นละออง 
หรือก๊าซใดๆ ในอวกาศถูกคลื่น ซึ่งมีผลทำให้มันสามารถเดินทางได้ไกล โดยไม่มีการบิดเบือนของสัญญาณเลย

ส่วนประเด็นที่ว่า นักวิทยาศาสตร์ต้องหันกล้องไปรับคลื่นวิทยุจากดาวดวงใดนั้น ก็เป็นเรื่องที่ต้องคิดหนักเช่นกัน เพราะดาวบนฟ้ามีอย่าง น้อย 1042 ดวง (ล้านล้านล้านล้านล้านล้านล้านดวง) และถ้าดาว (ฤกษ์) เหล่านี้มีดาวเคราะห์ที่มีมนุษย์ต่างดาวอาศัยอยู่หนึ่งล้านดวง นั่นก็หมายความว่า โดยเฉลี่ยเราต้องโฟกัสกล้องโทรทรรศน์ไปที่ดาวถึง 1042/106 = 1036 ดวง เราจึงจะได้ยินเสียงคลื่นวิทยุจาก มนุษย์ต่างดาวหนึ่งครั้ง 

โอกาสที่น้อยนิดเช่นนี้ อธิบายให้เราเข้าใจว่าเหตุใดเราจึงยังไม่ได้ยินเสียงมนุษย์ต่างดาวเลย
ในเวลา 40 ปีที่ผ่านมานี้ ความสามารถของนักวิทยาศาสตร์ในการได้ยินเสียงกระซิบจากมนุษย์ต่างดาวได้เพิ่มจากเดิมถึงหนึ่งล้านล้านเท่า แต่เราก็ยังไม่ได้ยินเสียงสัญญาณใดๆ จากมนุษย์ต่างดาวเลย ซึ่งนั่นอาจหมายความว่า จักรวาลนี้ไม่มีมนุษย์ต่างดาว หรือพวกเขาได้ส่ง สัญญาณมาแล้ว แต่สัญญาณยังมาไม่ถึงเรา 

(เช่นสัญญาณจากดาวฤกษ์ Sau Ceti ต้องใช้เวลานานถึง 12 ปี จึงถึงโลก) หรือเครื่องรับวิทยุ ของเรายังปรับความถี่ไม่ตรง หรือเรามัวพูดกันเองจนไม่ได้ยินมนุษย์ต่างดาวพูด หรือมนุษย์ต่างดาวยังไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะ ส่งสัญญาณวิทยุได้ เพราะเราก็ต้องตระหนักว่า มนุษย์เราเองก็เพิ่งมีความสามารถในการส่งสัญญาณวิทยุ เมื่อไม่ถึง 100 ปีมานี้เอง หลังจากที่ได้อุบัติบนโลกนานถึง 2 ล้านปี

การดักฟังสัญญาณจากต่างดาวในลักษณะนี้ เป็นวิธีหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ในการค้นหาเพื่อนร่วมจักรวาลของเรา ในทำนองตรงกันข้าม การส่งสัญญาณจากโลกไปติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้มนุษย์ต่างดาวรู้ เขามีเรา ดังนั้น ในปี พ.ศ.2517 กล้อง โทรทรรศน์วิทยุที่ Arecibo จึงได้ส่งคลื่นวิทยุแสดงภาพของสุริยจักรวาล และภาพ DNA ตรงไปที่ดาวฤกษ์ Hercules ซึ่งอยู่ห่าง จากโลก 25,000 ปีแสง 

ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ถ้าดาวฤกษ์ Hercules มีดาวเคราะห์ที่มีมนุษย์ต่างดาวที่ฉลาดเฉลียวอาศัยอยู่ ปราชญ์บนดวงดาวนั้นคงได้ยินสัญญาณที่ NASA ส่งไปในปี พ.ศ.2473 ซึ่งคนส่งสัญญาณได้ละสังขารไปนานแล้ว

เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2544 คณะนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ Berkeley และ Santa Cruz ได้ออกแถลงการณ์ ว่า เขากำลังค้นหาสัญญาณแสงเลเซอร์จากต่างดาว โดยใช้กล้องโทรทรรศน์ที่มีเลนส์ขนาด 102 เซนติเมตร ของหอดูดาว Lick ซึ่งกล้องนี้สามารถเห็นแสงที่แวบ "นาน" หนึ่งในพันล้านวินาทีจากดาวที่ห่างออกไปหลายร้อยปีแสงได้ 

โครงการที่ต้องใช้งบประมาณ 460,000 บาท/ปี 
มีราคาถูกเพราะใช้กล้องโทรทรรศน์ที่มีอยู่แล้ว และนักวิทยาศาสตร์เจ้าของโครงการได้วางแผนจะโฟกัสกล้องไป ที่ดาวฤกษ์ที่เขาสงสัยว่าจะมีดาวเคราะห์เป็นบริวารนานประมาณดวงละ 10 นาที

จนกระทั่งถึงวันนี้ โครงการนี้ได้สำรวจดาวไปแล้วประมาณ 300 ดวง และก็ยังไม่ได้รับสัญญาณแสงเลเซอร์จากดาวเหล่านั้นแต่อย่างใด ถึงกระนั้นการค้นหาแสงเลเซอร์จากต่างดาว ก็ยังต้องกระทำต่อไปจนกว่าเขาจะเห็น

เมื่อ 50 ปีก่อนที่ Los Alamos 
ในรัฐ New Mexico สหรัฐอเมริกา Enrico Fermi นักฟิสิกส์ชาวอิตาลี ได้ตั้งคำถามว่า ถ้าจักรวาลนี้ มีมนุษย์ต่างดาวจำนวนมากอาศัยอยู่จริง แล้วเหตุใดมนุษย์ต่างดาวจึงยังไม่มาเยือนโลกเรา หรือติดต่อเรา

คำตอบก็มีว่า มันอาจเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์ที่อยู่บนโลกใบนี้ เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาสูงสุดในจักรวาล เมื่อเราฉลาดปราดเปรื่องที่สุดยัง เดินทางออกนอกสุริยจักรวาลก็ยังไม่ได้ การจะให้สิ่งมีชีวิตอื่นติดต่อกับเราหรือมาหาเราก็ยิ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ใหญ่

ส่วนอีกคำตอบหนึ่งที่เป็นไปไม่ได้ก็คือ มนุษย์ต่างดาวมีความฉลาดเฉลียวยิ่งกว่ามนุษยโลกมาก และเขาได้เห็นนิสัย ประเพณีและ วัฒนธรรม (จากการสังเกตดูระยะไกล) ของเราแล้ว เขาเกิดอาการสังเวชและรู้สึกทุเรศจนไม่อยากติดต่อกับเราก็เป็นได้
(...ข้อมูลนี้  มาจาก google ...)

รายการบล็อกของฉัน