Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2560

จานบินปริศนาลึกลับในภาพเขียนดังของโลก


จานบินปริศนาในภาพเขียนดังของโลก
ภาพการตรึงกางเขนของพระเยซู
คงจะไม่แปลก ถ้าใครสักคนจะกล่าวอ้างว่าครั้งหนึ่งในอดีต โลกของเราเคยมีสิ่งมีชีวิตสุดแสนชาญฉลาดจากนอกโลกมาเยือนแล้วหลายต่อหลายครั้ง เพราะชนเผ่ามนุษย์ถ้ำยุคก่อนประวัติศาสตร์อย่างเช่นชาวอะบอริจิน (Aborigin) ในทวีปออสเตรเลียและชนเผ่าอีกหลายทวีปทั่วโลก ได้บันทึกภาพวาดของสิ่งมีชีวิตศีรษะกลมเกลี้ยงมีดวงตาคู่ใหญ่เอาไว้บนผนังถ้ำเหมือนๆกันโดยมิได้นัดหมาย ว่าแต่นอกจากหลักฐานเหล่านี้แล้ว ยังมีอย่างอื่นอีกไหมที่แสดงให้เห็นถึงความน่าจะเป็นในการติดต่อกันระหว่างมนุษย์เดินดินธรรมดากับสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก
ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลโดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูน ขอนำแฟนานุแฟนไปชมภาพวาดศิลปะพรีโมเดิร์น (Pre-Modern) ในช่วงประมาณปี ค.ศ. 1300 ถึง ค.ศ. 1800 ซึ่งพอจะมีเงื่อนงำบางอย่างให้ติดตาม เพราะเมื่อลองพินิจพิจารณาดูคร่าวๆแล้ว ก็เหมือนว่าจะมีภาพของจานบินหรือยูเอฟโอ (UFO) ปรากฏอยู่หลายภาพเหมือนกันครับ

มาดูกันที่ภาพแรกเลยดีกว่า ภาพนี้มีชื่อเรียกยาวเหยียดว่า “มาดอนน่าและทายาทกับทารกจอห์น แบ็พทิสต์” (Madonna and Child with the infant John the Baptist) เป็นภาพวาดสีน้ำมันสมัยช่วงประมาณปี ค.ศ. 1400 ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในประเทศอิตาลี ถ้ามองดูที่มุมขวาบนของภาพก็จะเห็นว่ามีวัตถุลึกลับคล้ายจานลอยตัวอยู่!! ดูแล้วไม่น่าจะใช่ก้อนเมฆธรรมดาๆ อีกทั้งด้านล่างของจานปริศนาก็มีภาพของคนและสุนัขกำลังเพ่งมองขึ้นไปยังวัตถุชิ้นนั้น นั่นหมายความว่ามันถูกวาดขึ้นอย่างจงใจ หรือจะเป็นสิ่งที่ช่างศิลป์มองเห็นบนฟากฟ้าในขณะที่เขากำลังรังสรรค์ผลงานชิ้นนี้!?

แท้ที่จริงแล้ว ภาพนี้เกี่ยวข้องกับการประสูติของพระเยซูโดยมีพระนางมารีย์ (Mary) ปรากฏเด่นอยู่ตรงกลางภาพ ส่วนทารกที่ยืนอยู่ก็คือจอห์น แบ็พทิสต์ และถ้าอ้างอิงจากพระคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาใหม่ (New Testament) ได้กล่าวถึงคนเลี้ยงแกะแห่งเบธเลเฮม (Bethlehem) ที่กำลังเฝ้าดูฝูงแกะของพวกเขาในช่วงเวลาแห่งการประสูติของพระเยซู โดยมีทูตสวรรค์และชาวสวรรค์ (Heavenly host) หมู่หนึ่งร่วมกันสรรเสริญพระเจ้า ดังนั้น บุคคลปริศนาและสุนัขของเขาก็คือกลุ่มของคนเลี้ยงแกะที่กำลังเพ่งมองขึ้นไปยังสิ่งที่ช่างศิลป์ต้องการสื่อถึง “ชาวสวรรค์” เท่านั้นเอง


ภาพต่อมาชื่อว่า “พระเยซูรับศีลจุ่ม” (Baptism of Christ) วาดโดยช่างศิลป์ชาวเนเธอร์แลนด์ ประมาณปี ค.ศ. 1710 ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในประเทศอังกฤษ จะเห็นจานวงกลมบริเวณด้านบนกำลังยิงลำแสงสี่เส้นลงมายังพื้นด้านล่าง ส่องให้เห็นบุคคลสำคัญสองท่าน ซึ่งก็คือพระเยซูและจอห์น แบ็พทิสต์

เราอาจจะตีความภาพนี้ออกเป็นสองทางด้วยกัน ทางแรก เจ้าจานปริศนาที่ปรากฏอยู่นั้นคือยูเอฟโอ หรืออีกทางหนึ่งก็คือเป็นเพียงแค่การแสดงออกทางศิลปะที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเท่านั้น
เมื่อมองเข้าไปชัดๆที่เกือบกึ่งกลางของวงกลมปริศนาก็จะพบว่ามันมีจุดแต้มสีขาวๆปรากฏอยู่ นั่นคือภาพของ “นกพิราบ” (Dove) สีขาว เรื่องราวที่ปรากฏจึงพาพวกเราย้อน กลับไปหาพระคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาใหม่กันอีกครั้งในบทจอห์น 1:32 (John 1:32) ที่กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็นพระวิญญาณเหมือนดังนกพิราบเสด็จลงมาจากสวรรค์”

ดังนั้น วงกลมในภาพนี้จึงเป็นการแสดง ออกถึงการปรากฏหรือการดำรงอยู่ของพระเจ้า โดยใช้แสงสี่เส้นในภาพเป็นตัวเน้นความโดดเด่นของบุคคล โดยจงใจใส่นกพิราบเข้าไปในภาพเพื่อสื่อถึงเรื่องราวในพระคัมภีร์ด้วย

ภาพที่สาม ดูแล้วทำให้หวนคิดถึงหนังเรื่อง ID4 สงครามวันดับโลก (Independence Day) ที่เข้าฉายเมื่อปี ค.ศ. 1996 เพราะในภาพปรากฏ ให้เห็นวัตถุทรงแบนขนาดใหญ่คล้ายจานบิน ลอยละล่องเหนือกรุงโรม พร้อมด้วยวัตถุทรงคล้ายจานบินเช่นนี้อีกร่วม 30 ลำด้านหลัง หรือมันจะเป็นวันดับโลกของกรุงโรมเมื่อ ค.ศ. 1428 ปีที่ภาพนี้ถูกวาดขึ้นกันแน่!?
ภาพนี้ได้ชื่อว่า “อัศจรรย์แห่งหิมะ” (Miracle of the Snow) อยู่ในประเทศอิตาลี สื่อถึงตำนานที่คนกลุ่มหนึ่งได้มีนิมิตเห็นพระแม่มารีย์ มีพระประสงค์ให้สร้างโบสถ์ในกรุงโรม โดยจะทำการระบุตำแหน่งของโบสถ์แห่งนั้นด้วยหิมะที่ตกลงมาจากฟากฟ้า

และแล้วเรื่องอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นกลางฤดูร้อนตอนเช้าของวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 358 หิมะได้ตกลงมาบนเนินเขาเอสควิลีน (Esquiline hill) ทิ้งร่องรอยเป็นแบบร่างของโบสถ์เอาไว้อย่างงดงาม
เมื่อดูภาพโดยรวมก็จะเห็นว่าหิมะกำลังตกอยู่ โดยที่ส่วนหนึ่งได้ปกคลุมที่พื้นเรียบร้อยแล้ว เหนือขึ้นไปด้านบนคือพระเยซูและพระแม่ มารีย์ประทับอยู่บนก้อนเมฆปริศนา ถัดลงมาด้านล่าง ปรากฏภาพพระสันตะปาปา (Pope) และชนชั้นสูงอีกจำนวนหนึ่งกำลังตรวจสอบร่องรอยของหิมะบนพื้น ดูเหมือนว่าหิมะจะมาจากก้อนเมฆปริศนาที่พระเยซูและพระแม่มารีย์ประทับอยู่ ซึ่งก้อนเมฆขนาดเล็กอีก 30 ก้อนคาดกันว่าน่าจะมีขนาดเท่ากับเจ้าก้อนใหญ่สุดทางด้านหน้านี่ล่ะครับ เพียงแต่ว่ามันอาจจะอยู่ไกลออกไปเท่านั้นเอง
อีกหนึ่งความเป็นไปได้ก็คือภาพของก้อนเมฆนั้น อาจจะแสดงให้เห็นถึงเส้นแบ่งระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์ ดังนั้นภาพที่สามนี้ก็น่าจะเป็นเพียงแค่ตำนานเรื่องราวความมหัศจรรย์ของหิมะที่ตกในฤดูร้อนมากกว่าที่จะสื่อถึงจานบิน

ภาพที่สี่ เขยิบเวลามาจากภาพหิมะมาอีก 58 ปี คราวนี้เราได้เห็นภาพของจานบินปริศนาที่ยิงแสงเลเซอร์ลงมาใส่สตรีท่านหนึ่ง ภาพสีน้ำมันนี้มีชื่อว่า “ประกาศแห่งนักบุญอีมิดีอุส” (The Annunciation, with Saint Emidius) ถูกวาดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1486 ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในประเทศอังกฤษ

เรื่องราวในภาพนี้เกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาใหม่ เมื่อทูตสวรรค์ได้มาแจ้งแด่พระนางมารีย์ถึงการตั้งครรภ์และการถือกำเนิดของพระเยซู
เราจะเห็นวัตถุวงกลมปริศนาปรากฏอยู่บนฟากฟ้าทางมุมซ้ายบนของภาพ มันยิงแสงออกมายังสตรีในบ้านทางมุมขวาล่างของภาพ ซึ่งก็คือพระแม่มารีย์นั่นเอง และเมื่อมองตามแสงเลเซอร์ขึ้นไปแล้วก็จะพบว่าเหนือศีรษะของนางไปเพียงเล็กน้อย  มีนกพิราบตัวหนึ่งขวางลำแสงอยู่ เป็นไปได้ว่าช่างศิลป์ต้องการให้ลำแสงคล้ายเลเซอร์และนกพิราบมีความหมายประกอบกันถึงฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (Holy Spirit) ที่ส่งผลให้นางตั้งครรภ์

แล้วเจ้าวัตถุคล้ายจานบินนั้นคืออะไรล่ะ ถ้าได้ลองขยายออกมาดูให้ชัดๆกันแล้วล่ะก็ จะพบว่าเป็นวงแหวนที่เกิดจากเหล่าทูตสวรรค์สองวงซ้อนกัน และมองเห็นรายละเอียดหน้าตาของทูตสวรรค์ในวงกลมปริศนานั้นได้คร่าวๆอีกด้วย
ภาพพิศวงภาพสุดท้าย ภาพนี้ปรากฏเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1350 เป็นภาพพระเยซูถูกตรึงกางเขน (Crucifixion) เมื่อสังเกตที่มุมซ้ายบนและมุมขวาบนของภาพแล้วก็ต้องฉงนกับยานบินลึกลับที่เสมือนว่าขอมีส่วนเอี่ยวในเหตุการณ์นี้ด้วยยังไงยังงั้น

ภาพนี้เป็นส่วนหนึ่งของภาพปูนเปียก (Fresco) บนผนังวิหารแห่งหนึ่งทางตะวันตกของโคโซโว (Kosovo) เมื่อลองพิจารณาที่ยานบินลำขวามือในภาพ (ซ้ายมือของพระเยซู) ก็จะพบว่ามันเป็นยานบินสีเงิน ภายในปรากฏร่างของมนุษย์ที่น่าจะเป็นสตรี เนื่องจากมีผมเผ้ายาวสวยกำลังหันหน้ามาด้านหลัง มองข้ามไหล่ตัวเองมายังภาพของพระเยซู ส่วนภาพยานบินลำซ้ายมือมีสีแดง ปรากฏภาพของมนุษย์ผมสั้น ซึ่งคาดว่าเป็นบุรุษในชุดผ้าคลุมยาว กำลังขับยานปริศนามุ่งเข้ามาหาพระเยซู

นั่นหมายความว่ามีใครบางคนจากนอกโลกเข้ามาร่วมสังเกตเหตุการณ์ตรึงกางเขนพระเยซูด้วยเช่นนั้นหรือ แต่ทว่าในมุมมองของนักประวัติศาสตร์แล้ว พวกเขาเสนอว่าโดยปกติแล้ว ในศิลปะไบเซนไทน์ (Byzantine) ที่ปรากฏในโบสถ์ยุคกลางนั้น  มักจะมีแบบแผนการแสดงภาพที่ค่อนข้างเป็นมาตรฐานอยู่ ซึ่งยานอวกาศสีแดงหมายถึงดวงอาทิตย์ ส่วนยานอวกาศสีเงินนั้นก็หมายถึงดวงจันทร์ เนื่องด้วยถ้าต้องมีการแบ่งเพศแล้ว พวกเขามักจะให้ดวงจันทร์เป็นเพศหญิงและพระอาทิตย์เป็นเพศชาย อีกทั้งพวกเขามักจะแสดงภาพของดวงอาทิตย์เอาไว้ทางด้านขวามือของพระเยซูและดวงจันทร์อยู่ทางด้านซ้ายมือของพระเยซู

ถึงอย่างนั้นก็ต้องบอกว่า การตีความที่เสนอไปส่วนใหญ่อ้างอิง “ตรรกะ” ที่ฟังดูแล้วสมเหตุสมผลเท่านั้น ยังไม่มีใครสามารถฟันธงได้อย่างชัดเจน ว่าวงกลมปริศนาที่ปรากฏในภาพศิลปะยุคพรีโมเดิร์นทุกชิ้น  จะไม่ได้มีความหมายอื่นใดนอกเหนือไปจากสิ่งที่เราสามารถอธิบายได้ด้วยตรรกะจริงหรือไม่ เพราะไม่แน่นะครับ ภาพเหล่านี้แท้ที่จริงแล้วอาจจะเป็นหลักฐานชั้นดีที่แสดงให้เห็นว่าโลกของเราเคยมียานบินจากต่างดาวแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมเยียนหลายต่อหลายครั้งแล้วก็เป็นได้.

รายการบล็อกของฉัน