งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนียเผย แก่นโลกชั้นในมีการเคลื่อนที่แบบเปลี่ยนทิศไปมาเป็นระยะทางมากกว่า 1 ไมล์ในทุก ๆ 6 ปี ชี้อาจมีผลกระทบต่อระยะเวลาของวันบนโลกประมาณ 0.2 วินาที
กว่า 30 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามศึกษาเกี่ยวกับแก่นโลกชั้นใน โดยแก่นโลกชั้นในเป็นส่วนที่อยู่ลึกที่สุดของโลก ภายในประกอบไปด้วยโลหะและนิเกิล มีอุณหภูมิสูงมากพอ ๆ กับดวงอาทิตย์ ในขณะที่ทฤษฎีเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของแก่นโลกชั้นในที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางคือ แก่นโลกช้ันในจะหมุนอย่างสม่ำเสมอด้วยความเร็วที่มากกว่าพื้นผิวบนโลกประมาณ 1 องศาต่อปีหรือที่เรียกว่า super rotation
และเพื่อเป็นการสนับสนุนทฤษฎีดังกล่าว ทีมนักวิจัยจึงได้ใช้ข้อมูลจากฐานทัพอากาศสหรัฐฯ เพื่อทำการสำรวจวัดคลื่นไหวสะเทือนที่เคยเกิดขึ้นจากการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ใต้ดินของสหภาพโซเวียตในปี 1971–1974 บนหมู่เกาะอาร์กติกที่ชื่อว่า Novaya Zemlya แต่พบว่าแก่นโลกชั้นในที่ควรจะหมุนเร็วกว่าพื้นผิวบนโลกตามทฤษฎีกลับหมุนช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ประมาณ 0.1 องศาต่อปี
ต่อมานักวิจัยได้ใช้วิธีวัดคลื่นไหวสะเทือนแบบเดียวกันที่หมู่เกาะ Amchitka ซึ่งเป็นบริเวณที่เคยมีการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ในปี 1969 - 1971 เมื่อวัดคลื่นที่เกิดจากการระเบิดของอาวุธนิวเคลียร์ พวกเขาค้นพบว่าแก่นโลกชั้นในไม่ได้เคลื่อนที่ไปทางเดิมแต่เคลื่อนที่ไปอีกทิศทาง และหมุน 0.1 องศาต่อปี จากผลการศึกษาทั้งสองที่ได้ ทีมนักวิจัยจึงได้ข้อสรุปใหม่ว่าในทุก ๆ 6 ปี แก่นโลกชั้นในจะมีการเคลื่อนที่ช้าลงและเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่
.
นอกจากนี้ ผลการศึกษาดังกล่าวยังทำให้นักวิจัยสามารถคาดการณ์ความยาวของวันที่อาจเพิ่มขึ้นและน้อยลงได้อีกด้วย โดยความยาวของวันจะผันแปรไปตามการเคลื่อนที่แบบเปลี่ยนทิศไปมาของแก่นโลกชั้นใน นั่นหมายความว่าในทุก ๆ 6 ปีความยาวของวันอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงประมาณ 0.2 วินาที
.
ที่มา
https://phys.org/news/2022-06-earth-feet-core-oscillates.html
https://www.sciencealert.com/an-oscillating-inner-core-could-be-changing-the-length-of-earth-s-days
ขอบคุณภาพจาก: Edward Sotelo/USC