เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการท่องเที่ยวและโบราณคดีของอียิปต์ ซึ่งเป็นผู้ทำการบูรณะวิหาร ค่อย ๆ ใช้น้ำกลั่นผสมแอลกอฮอล์เช็ดคราบเขม่าควันและสิ่งสกปรกที่จับแน่นตามเสาและผนังทุกด้าน จนจารึกตัวอักษรและรูปสลักนูนต่ำที่ยังคงมีสีสันเหมือนใหม่ปรากฏออกมา
👉จารึกนี้สลักภาพมัมมี่และสัญลักษณ์ดาวห้าแฉก 7 ดวง เพื่อสื่อความหมายถึงกลุ่มดาวหนึ่งบนท้องฟ้า
หลังการทำความสะอาดเพดาน ซึ่งสร้างขึ้นเป็นแผนที่ทางดาราศาสตร์โดยเลียนแบบท้องฟ้ายามราตรี ทีมผู้วิจัยพบว่าชาวอียิปต์โบราณใช้หมึกเขียนจารึกอักษรภาพที่สื่อความหมายถึงกลุ่มดาวต่าง ๆ เอาไว้ โดยบางส่วนก็มีการแกะสลักและลงสีอักษรภาพเหล่านั้นด้วย
ชื่อของกลุ่มดาวบางส่วนที่จารึกวิหารแห่งเอสนากล่าวถึง เป็นกลุ่มดาวที่คนยุคใหม่รู้จักกันดี เช่นกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ (Big Dipper) หรือกลุ่มดาวหมีใหญ่ของชาวกรีก ซึ่งจารึกใช้รูปขาวัวที่เทพีทาเวเร็ต (Taweret )ในร่างฮิปโปโปเตมัสผูกล่ามเอาไว้ โดยมีสัญลักษณ์ดาวห้าแฉก 7 ดวงล้อมรอบ เพื่อสื่อความหมายถึงกลุ่มดาวสำคัญนี้
👉จารึกที่สื่อความหมายถึงกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ (Big Dipper) หรือหมีใหญ่ของชาวกรีก ไทยเรียกว่ากลุ่มดาวจระเข้
อย่างไรก็ตาม มีชื่อของกลุ่มดาวจำนวนหนึ่งที่นักดาราศาสตร์ไม่เคยรู้จักมาก่อน ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเป็นอีกชื่อหนึ่งของกลุ่มดาวที่มีการบันทึกไว้แล้วหรือไม่ เช่นกลุ่มดาว "อะเพดู เอ็น รา" (Apedu n Ra) หรือ "ฝูงห่านของสุริยเทพ" นั้น ยังไม่สามารถเทียบเคียงได้กับกลุ่มดาวใด ๆ ในระบบดาราศาสตร์ยุคปัจจุบัน
ศาสตราจารย์คริสเตียน ไลท์ซ จากมหาวิทยาลัยทูบิงเงนของเยอรมนี ผู้นำทีมวิจัยทางโบราณคดีในครั้งนี้บอกว่า "หากไม่มีภาพของกลุ่มดาวตามลักษณะการจัดเรียงตัวบนท้องฟ้าเขียนประกอบเอาไว้ด้วย ก็เป็นเรื่องยากที่เราจะทราบได้ว่า มันคือกลุ่มดาวที่มีอยู่จริงหรือไม่"
(Temple of Esna) ตั้งอยู่ห่างจากเมืองลักซอร์ไปทางตอนใต้ราว 60 กม. ชาวอียิปต์โบราณนั้นมีความก้าวหน้าในวิทยาการด้านดาราศาสตร์อย่างมาก
โดยสันนิษฐานว่าเป็นผู้ริเริ่มการจัดระบบกลุ่มดาวจักรราศี สามารถสร้างพีระมิดและวิหารต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับตำแหน่งของดาวเหนือ รวมทั้งตรงกับแนวการขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ในช่วงสำคัญของฤดูกาลต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ จึงเป็นเรื่องน่าสนใจที่บรรดานักวิทยาศาสตร์จะติดตามศึกษา
เพื่อไขความกระจ่างเรื่องกลุ่มดาวปริศนาจากจารึกอียิปต์โบราณนี้
ต่อไป