Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563

เหตุใด ค.ศ. 536 เป็นปีเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์การดำรงชีวิตของมนุษย์

ยุคสมัยที่คนเราต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเอาชีวิตรอดมากที่สุด อาจไม่ใช่ช่วงเวลาวิกฤตในประวัติศาสตร์ที่รู้จักกันดีอย่างเช่นปี ค.ศ. 1349 ที่ประชากรครึ่งหนึ่งของยุโรปต้องตายลงด้วยเหตุกาฬโรคระบาด หรือปี ค.ศ. 1918 ซึ่งไข้หวัดใหญ่คร่าชีวิตผู้คนไป 50-100 ล้านคนทั่วโลก

แต่ช่วงเวลาอันเลวร้ายที่สุดดังกล่าว อาจเป็นปี ค.ศ. 536 ที่นักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์บางกลุ่มเสนอว่า เป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศระดับโลกครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้ทำให้เกิดภัยพิบัติที่กระหน่ำซ้ำเติมมนุษย์ครั้งแล้วครั้งเล่า ตลอดช่วงหนึ่งศตวรรษต่อ
จากนั้น

ศาสตราจารย์ไมเคิล แม็กคอร์มิก ประธานโครงการความริเริ่มทางวิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาประวัติศาสตร์ของมนุษย์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผู้นำทีมนักวิจัยนานาชาติ ได้ตีพิมพ์ข้อเสนอข้างต้นในวารสาร Antiquity ฉบับเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา โดยชี้ว่าเหตุภูเขาไฟระเบิดครั้งรุนแรงในซีกโลกเหนือเมื่อปี ค.ศ. 536 ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อสภาพภูมิอากาศในหลายพื้นที่ทั่วโลก ซึ่งทำให้เกิดภัยแล้ง ความหนาวเย็น ภาวะขาดแคลนอาหาร โรคระบาด และการล่มสลายของอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ติดตามมา

ปี ค.ศ. 536 (พ.ศ. 1079) ตรงกับยุคของจักรวรรดิไบแซนไทน์ซึ่งสืบทอดอำนาจจากจักรวรรดิโรมันตะวันตกที่ล่มสลายไปก่อนหน้านั้น บันทึกโบราณหลายฉบับระบุว่า 
ปี 536 เริ่มต้นขึ้นด้วยปรากฏการณ์แปลกประหลาดบนท้องฟ้า โดยมีกลุ่มหมอกควันปกคลุมไปทั่วยุโรป ตะวันออกกลาง และบางส่วนของเอเชีย เป็นเวลานานติดต่อกัน 18 เดือน จนทำให้ท้องฟ้าดำมืดทั้งกลางวันและกลางคืน

อุณหภูมิในฤดูร้อนของปีนั้นลดลงจากปีก่อนหน้า 1.5-2.5 องศาเซลเซียส แต่ขณะนั้นไม่มีใครรู้ว่านี่คือจุดเริ่มต้นของทศวรรษที่หนาวเย็นที่สุดในรอบ 2,300 ปีที่ผ่านมา บันทึกโบราณของจีนระบุว่าเกิดหิมะตกกลางฤดูร้อน พืชผลทางการเกษตรเสียหาย 
และเกิดทุพภิกขภัยที่ทำให้ผู้คนต้องอดอยากล้มตายไปจำนวนมาก

พงศาวดารไอริชได้บันทึกไว้ว่า 
เกิดภาวะ "ขาดแคลนขนมปัง" ในระหว่างปี 536-539 และไม่กี่ปีต่อมาที่เมืองเพลูเซียม (Pelusiam) 
ซึ่งเป็นเมืองท่าของชาวโรมันในอียิปต์ ได้เกิดกาฬโรคระบาดหนักในปี 541 และต่อมาลุกลามไปเป็น
เหตุโรคระบาดครั้งใหญ่ในสมัยของจักรพรรดิจัสติเนียน ทำให้ประชากรของจักรวรรดิไบแซนไทน์ต้องล้มตายลงราว 1 ใน 3 หรืออาจจะถึงครึ่งหนึ่งของทั้งหมด อันเป็นสาเหตุที่เร่งให้จักรวรรดิโรมันตะวันออกล่มสลายเร็วขึ้น

อะไรคือต้นเหตุของหายนะที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลากว่าร้อยปี และกลุ่มหมอกควันหนาทึบที่บดบังแสงอาทิตย์นานถึงปีครึ่งนั้นมาจากไหนกันแน่?ชั่วโมงแห่งความมืดมิด

กล่าวกันว่าสมัยกลางศตวรรษที่ 6 นั้น ถือได้ว่าเป็น "ชั่วโมงมืด" (a dark hour) ท่ามกลางช่วงเวลาที่เคยเรียกขานกันว่า "ยุคมืด" (dark ages) ซึ่งก็สอดคล้องกับสภาพการณ์ที่ท้องฟ้าอันมืดมิด นำมาซึ่งหายนะอันดำมืดสำหรับมวลมนุษยชาติโดยไม่ทราบสาเหตุ

แต่ปัจจุบันปริศนาที่ดูเหมือนจะมืดมนไร้คำตอบนี้ ได้รับการไขให้กระจ่างจากทีมนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดแล้ว 
โดยการวิเคราะห์หลักฐานในแกนน้ำแข็งซึ่งขุดเจาะจากธารน้ำแข็งที่มีอายุเก่าแก่ในสวิสเซอร์แลนด์ 
ได้เผยถึงองค์ประกอบของบรรยากาศโลกในยุคนั้นในส่วนหนึ่งของแกนน้ำแข็งซึ่งเก็บรักษาร่องรอยทางเคมีและอนุภาคฝุ่นละอองต่าง ๆ ในอากาศจากช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 536 

นักวิทยาศาสตร์พบเศษหินแก้วภูเขาไฟขนาดจิ๋ว 2 ชิ้น ซึ่งชี้ว่าเกิดเหตุภูเขาไฟระเบิดครั้งรุนแรงในแถบไอซ์แลนด์หรือภูมิภาคอเมริกาเหนือ โดยเถ้าถ่านภูเขาไฟที่ปะทุออกมาปริมาณมหาศาลได้กระจายตัวปกคลุมท้องฟ้าของซีกโลกเหนือเอาไว้ทั้งหมด

หมอกควันจากเถ้าถ่านภูเขาไฟนี้ยังถูกกระแสลมพัดพาให้ปกคลุมไปทั่วยุโรป และขยายตัวบดบังแสงอาทิตย์ในบางส่วนของทวีปเอเชียในเวลาต่อมา เหตุร้ายยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะในปี 540 และปี 547 ยังเกิดเหตุภูเขาไฟระเบิดรุนแรงตามมาอีก 2 ครั้งในพื้นที่ซึ่งคาดว่าเป็นเขตร้อนของโลก ซ้ำเติมให้สภาพท้องฟ้ามืดมิดและอากาศหนาวเย็นแผ่ขยายไปทั่ว จนอาจจะเรียกได้ว่าเป็น "ยุคน้ำแข็งช่วงสั้น" 
(mini ice age)ที่กินเวลานานราว 125 ปี

เวลาของการฟื้นคืนชีพ
หลังประสบหายนะและโรคระบาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาวะเศรษฐกิจของยุโรปตกต่ำสู่ความฝืดเคืองและภาวะชะงักงันที่กินเวลานานกว่าหนึ่งศตวรรษ ก่อนที่จะพบกับสัญญาณของการเริ่มฟื้นตัวในปี 640 ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ทราบได้จากปริมาณของอนุภาคตะกั่วในอากาศที่พุ่งสูงขึ้น แสดงถึงการทำเหมืองแร่เงินที่กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งในช่วงกลางศตวรรษที่ 7 หลังจากที่ซบเซาไปในช่วงกว่าร้อยปีก่อนหน้านั้น

นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าปริมาณของอนุภาคตะกั่วในแกนน้ำแข็งอายุเก่าแก่ พุ่งสู่ระดับสูงสุดอีกครั้งในตำแหน่งที่ตรงกับช่วงปี 660 ซึ่งขณะนั้นแร่เงินได้เข้ามาเป็นส่วนสำคัญของระบบเศรษฐกิจยุคกลางแทนทองคำที่กำลังขาดแคลน เนื่องจากการค้าขายโดยใช้เงินตราได้เฟื่องฟูขึ้นจนทองคำไม่พอใช้ เหตุการณ์นี้ยังชี้ถึงการเกิดขึ้นของชนชั้นพ่อค้าวาณิช 
ซึ่งเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ด้วย
ศ. ไคล์ ฮาร์เปอร์ นักประวัติศาสตร์ยุคโรมันและยุคกลางจากมหาวิทยาลัยโอคลาโฮมาของสหรัฐฯ บอกว่าข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับภัยธรรมชาติและมลพิษในอากาศจากฝีมือมนุษย์เมื่อเกือบ 1,500 ปีก่อน ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ในชั้นน้ำแข็งนี้ "ได้มอบบันทึกทางประวัติศาสตร์แบบใหม่ให้กับเรา สร้างความเข้าใจถึงเหตุการณ์ที่มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกัน ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายอย่างสิ้นเชิงของจักรวรรดิโรมัน และการเริ่มเกิดขึ้นของระบบเศรษฐกิจใหม่ในยุคกลาง"
ศ. คริสโตเฟอร์ เลิฟลัค 
นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัย
นอตติงแฮมของสหราชอาณาจักร แสดงความเห็นว่า "เราได้เข้าสู่ยุคของวิทยาการใหม่ล่าสุด ที่สามารถผสมผสานข้อมูลจากบันทึกธรรมชาติที่มีความแม่นยำและความละเอียดสูงในสิ่งแวดล้อม เข้ากับข้อมูลจากบันทึกประวัติศาสตร์ที่มีรายละเอียดสอดคล้องตรงกันได้แล้ว นับเป็นการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญทีเดียว"
ค้นหา
Custom Search

รายการบล็อกของฉัน