Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2560

5 เหตุการณ์สู่วันสิ้นโลก ที่นักวิทยาศาสตร์ต่างเห็นว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้มากที่สุด

5 เหตุการณ์สู่วันสิ้นโลก ที่นักวิทยาศาสตร์ต่างเห็นว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้มากที่สุด
“วันสิ้นโลก” เป็นคำที่เราคุ้นเคยจากหนังแนววิทยาศาสตร์ทั้งหลาย ที่ทำนายจุดจบของดาวเคราะห์สีน้ำเงินและอวสานแห่งมวลมนุษยชาติไว้ในแบบต่างๆ กัน เรื่องราวในหนังแม้จะโอเว่อร์เกินจริงไปในหลายๆอย่าง แต่แก่นของเรื่องที่ว่ามวลมนุษยชาติจะต้องพบกับวาระสุดท้ายเข้าในวันใดวันหนึ่งก็ไม่ใช่สิ่งเลื่อนลอย นักวิทยาศาสตร์ได้ทำนายเหตุการณ์ที่เป็นไปได้อันนำมาสู่วาระสุดท้ายของโลกไว้หลายประการ 5 ข้อ ต่อไปนี้

1. ดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลก
มนุษยชาติอาจดำเนินไปถึงวาระสุดท้ายจากดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลก เช่นเดียวกับที่ดาวเคราะห์น้อยหรืออุกกาบาตยักษ์ขนาดเกือบ 10 กิโลเมตรได้พุ่งชนโลกมาแล้วเมื่อ 65 ล้านปีก่อน และนำจุดจบมาสู่เผ่าพันธุ์ไดโนเสาร์ ในปัจจุบันมีดาวเคราะห์น้อยแบบนี้ที่โคจรอยู่ใกล้โลกอยู่กว่า 1,000 ดวง จำนวนกว่า 100 ดวงในนั้นมีโอกาสกลายเป็นดาวเคราะห์มฤตยูสำหรับโลกของเราได้

2. ดวงอาทิตย์กลายเป็นดาวยักษ์แดงดูดกลืนโลก
ดาวฤกษ์ทุกดวงล้วนมีอายุขัยของตนเอง ส่วนดาวฤกษ์อย่างดวงอาทิตย์นั้นปัจจุบันอยู่ในช่วงชีวิตที่กำลังเสถียร แต่ก็ไม่สามารถคาดเดาอนาคตที่แน่ชัดได้ว่าจุดจบของมันจะมาถึงในอีกเร็วช้าเท่าไร มีการทำนายว่าจะเกิดขึ้นในอีก 4-5 พันล้านปีข้างหน้า เมื่อดวงอาทิตย์ได้กลายเป็นดาวยักษ์แดง มันจะขยายขอบเขตใหญ่ขึ้นจนครอบคลุมรัศมีดาวเคราะห์วงใน แน่นอนว่าดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้เคียงก็จะได้รับผลกระทบไปตามกัน รวมไปถึงโลกของเราก็จะถูกกลืนกินเข้าไปในวงรังสีนั้นและถูกกลืนหายไปในที่สุด

3. ซูเปอร์โวลคาโน การระเบิดของภูเขาไฟขนาดใหญ่เมื่อกว่า 7,000 ปีที่แล้ว เกิดภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ที่ทิ้งร่องรอยหลังการระเบิดไว้เป็นทะเลสาบโทบา บนเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย อันเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่เกิดจากการยุบตัวของปล่องภูเขาไฟ การระเบิดครั้งนั้นทำให้ธรรมชาติแปรปรวน เกิดฤดูหนาวยาวนานต่อเนื่องกัน 6-10 ปี และใช้เวลาอีกกว่าพันปีลาวาจึงเย็นลงอย่างสมบูรณ์ หากเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นอีกครั้งคงไม่ต้องเดาว่าจะเป็นมหาวิบัติรุนแรงแค่ไหน

4. โรคระบาด
สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่สายตาเรามองไม่เห็นทั้งไวรัสและแบคทีเรีย ก่อให้เกิดความเจ็บป่วยและแพร่เชื้อติดต่อกันจนสร้างความสูญเสียได้ใหญ่หลวงอย่างคาดไม่ถึง ตัวอย่างของความร้ายแรงเคยมีให้เห็นมาแล้วเช่นกาฬโรคระบาดในยุโรปเมื่อศตวรรษที่ 14 คร่าชีวิตผู้คนไปถึง 75-200 ล้านคน หรือเกือบครึ่งทวีป ในระยะการระบาดเพียง 4 ปี

ลองจินตนาการว่าหากมีโรคระบาดร้ายแรงแบบนั้นเกิดขึ้นอีกในปัจจุบัน ไม่ว่าจะมาจากอาวุธเชื้อโรคของผู้ก่อการร้ายหรือจะด้วยสาเหตุใดๆ ก็แล้วแต่ ยิ่งบวกด้วยความก้าวหน้าตัดแต่งพันธุกรรมเชื้อโรคให้รุนแรงได้ตามต้องการ นักวิจัยจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ ไม่ต่ำกว่า 1 เดือนเพื่อคิดค้นยารักษา แต่นั่นก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะใช้ได้ผลจริง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจุดอวสานของมนุษยชาติก็คงรออยู่ไม่ไกล

5. สนามแม่เหล็กโลกเปลี่ยน
โลกมีสนามแม่เหล็กโลกคอยปกป้องดาวเคราะห์ของเราจากลมสุริยะซึ่งมีอนุภาคพลังงานสูงที่ดวงอาทิตย์แผ่ออกมา โดยพลังงานจากสนามแม่เหล็กนั้นเกิดจากการไหลวนของโลหะเหลวที่อยู่ลึกลงไปยังชั้นแกนโลก แต่จนกระทั่งปัจจุบันมนุษย์เองก็ยังไม่เข้าใจกระบวนการนี้มากเท่าไรนัก ทว่าที่แน่ๆ คือหากการไหลวนนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วทำให้สนามแม่เหล็กโลกอ่อนลงก็จะส่งผลเสียหายอย่างใหญ่ โลกไม่สามารถป้องกันตัวเองจากพายุสุริยะ จากดวงอาทิตย์ได้อีกต่อไป และนั่นก็จะเป็นจุดจบของมนุษยชาติรวมทั้งสิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนดาวเคราะห์ใบนี้





รายการบล็อกของฉัน