(Aura Power) ออร่าพลังงานชีวิตในตัวคุณ
ออร่า(aura power) หรือการเปล่งแสงหรือรัศมีบางอย่างออกมารอบตัวคน
คำว่า ออร่า มาจากภาษาลาติน แปลว่า อากาศ มาจากภาษากรีก แปลว่า ลมหายใจ
แสง ออร่า อาจจะเป็นแสงสีต่าง ๆ กันซึ่งตาเปล่ามองเห็นหรือเป็นรังสีแสงที่ตาเปล่ามองไม่เห็น แต่สามารถมองเห็นได้ด้วย “ตาสาม” ก็ได้
ออร่า(aura power) หรือการเปล่งแสงหรือรัศมีบางอย่างออกมารอบตัวคน
คำว่า ออร่า มาจากภาษาลาติน แปลว่า อากาศ มาจากภาษากรีก แปลว่า ลมหายใจ
แสง ออร่า อาจจะเป็นแสงสีต่าง ๆ กันซึ่งตาเปล่ามองเห็นหรือเป็นรังสีแสงที่ตาเปล่ามองไม่เห็น แต่สามารถมองเห็นได้ด้วย “ตาสาม” ก็ได้
แสง ออร่า เป็นแสงซึ่งแตกต่างจากสิ่งชีวิตบางจำพวกสามารถแสดงคุณสมบัติของการเรืองแสงชีวภาพได้ด้วยตนเอง อันเป็นแสงเรืองสว่างปราศจากความร้อน ได้แก่ พวกเห็ดราบางชนิด แมงบางพันธุ์ ปลาที่อาศัยอยู่ทะเลลึก เป็นต้น
![]() |
การมีแสงเรืองในตัวเองก็เพื่อประโยชน์ในการติดต่อสื่อสาร การนำทาง หรือเพื่อป้องกันภัยอันตราย …
แสงเรืองในสิ่งที่มีชีวิตบางชนิดเหล่านั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีอย่างต่อเนื่อง
โดยมีสารเอนไซม์บางอย่างเป็นตัวกระตุ้นให้โมเลกุลส่วนหนึ่งเกิดการออกซิไดซ์ และปล่อยพลังงานออกมาในรูปของแสงสีฟ้า น้ำเงิน เขียว หรือขาว สารชีวเคมีที่เป็นตัวสำคัญในการทำให้เกิดปฏิกิริยา “แสงเย็น” ดังกล่าวมีอยู่หลายชนิด ได้แก่ ออกซิเจน, ลิวซิเฟอเรส (luciferase), ลิวซิเฟอรีน (lucifurein) และอะดิโนซินไตรฟอสเฟท หรือ ATP (Adinosine triphosphate) เป็นต้น
แสงเรืองในสิ่งที่มีชีวิตบางชนิดเหล่านั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีอย่างต่อเนื่อง
โดยมีสารเอนไซม์บางอย่างเป็นตัวกระตุ้นให้โมเลกุลส่วนหนึ่งเกิดการออกซิไดซ์ และปล่อยพลังงานออกมาในรูปของแสงสีฟ้า น้ำเงิน เขียว หรือขาว สารชีวเคมีที่เป็นตัวสำคัญในการทำให้เกิดปฏิกิริยา “แสงเย็น” ดังกล่าวมีอยู่หลายชนิด ได้แก่ ออกซิเจน, ลิวซิเฟอเรส (luciferase), ลิวซิเฟอรีน (lucifurein) และอะดิโนซินไตรฟอสเฟท หรือ ATP (Adinosine triphosphate) เป็นต้น
แต่ทว่าปฏิกิริยาเคมีเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นในเซลล์ของร่างกายมนุษย์ได้อย่างเด็ดขาด
และถ้าจะไปบอกนักชีวะว่าร่างกายมนุษย์สามารถผลิตสารชีวเคมีที่ทำให้เกิดแสงเรืองได้
ซึ่งอาจเป็นสารอย่างอื่น ๆ ที่ยังไม่มีการค้นพบ นักชีวะจะส่ายหัวไม่ยอมรับความคิดนั้นเด็ดขาด
และถ้าจะไปบอกนักชีวะว่าร่างกายมนุษย์สามารถผลิตสารชีวเคมีที่ทำให้เกิดแสงเรืองได้
ซึ่งอาจเป็นสารอย่างอื่น ๆ ที่ยังไม่มีการค้นพบ นักชีวะจะส่ายหัวไม่ยอมรับความคิดนั้นเด็ดขาด
ดังนั้นการเรืองแสงได้ในตัวคนจึงยังเป็นสิ่งที่มืดมน และยังไม่มีใครอธิบายได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ……
ปฏิกริยาทางชีวเคมีหรือว่าปฏิกิริยาจากแม่เหล็กไฟฟ้ากับระบบชีวภาพกันแน่…..
ปฏิกริยาทางชีวเคมีหรือว่าปฏิกิริยาจากแม่เหล็กไฟฟ้ากับระบบชีวภาพกันแน่…..
กล่าวกันว่าการเปล่งแสง ออร่า นี้มีความเข้มข้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะปรากฏแสง ออร่า เข้มข้นมากในบุคคลที่มีพัฒนาการทางจิตอย่างสูง
และรองลงมาจะมีรังสี ออร่า แจ่มกระจ่างในบุคคลที่มีจิตใจอยุ่ในสภาวะปิติเบิกบานอยู่เสมอ ๆ …….
ปรากฏการณ์ ออร่า จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางจิต เพราะทางวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้
คงมีแต่หลักฐานทางศาสนาต่างๆเกี่ยวกับแสง ออร่า เท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะปรากฏแสง ออร่า เข้มข้นมากในบุคคลที่มีพัฒนาการทางจิตอย่างสูง
และรองลงมาจะมีรังสี ออร่า แจ่มกระจ่างในบุคคลที่มีจิตใจอยุ่ในสภาวะปิติเบิกบานอยู่เสมอ ๆ …….
ปรากฏการณ์ ออร่า จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางจิต เพราะทางวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้
คงมีแต่หลักฐานทางศาสนาต่างๆเกี่ยวกับแสง ออร่า เท่านั้น
ได้มีการจำแนกแสง ออร่า โดย ดร.แนนดัวร์ โฟดัวร์ นักปรจิตวิทยา หรือ parapsychologis ได้อธิบายไว้ว่า…พวกนักบุญและผู้ชำนาญการศาสนาทางตะวันตก
ได้จำแนกลักษณะของ ออร่า ไว้ 4 แบบ ด้วยกัน กล่าวคือ:
1. ออร่า แบบ นิมบัส (Nimbus) คือแบบที่มี ออร่าแผ่ออกมาในลักษณะคล้ายการ “ทรงกลด” เป็นรัศมีทรงกลมรอบศีรษะ
2. ออร่า แบบ ฮาโล (Halo) เป็น ออร่า แบบการแผ่รังสีที่มีลักษณะคล้ายวงแหลวแผ่ออกมารอบศีรษะเหมือนกัน
3. ออร่า แบบ ออรีโอลา (Aureola) เป็น ออร่า แบบลักษณะแผ่รังสี คล้ายเปลวเพลิงทรงกลด
4. ออร่า แบบ กลอรี (Glory) เป็น ออร่า ลักษณะแสงเรืองเปล่งปลั่งเรืองรองแผ่ออกมารอบร่างกาย
ส่วนมากบุคคลที่มี ออร่า แบบกลอรีนี้มักเป็นคนที่มีบุญวาสนาสูงส่งมาก ๆ หรือไม่ก็พวกศาสดาผู้บรรลุธรรมชั้นสูงสุด...
เรื่อง ออร่า มิใช่มีอยู่เฉพาะทางซีกโลกตะวันตกเท่านั้น ทางซีกโลกตะวันออกอย่างบ้านเมืองเราก็มีเช่นกัน และมีรายละเอียดปลีกย่อยมากกว่าด้วยอาจจะศึกษาลึกซึ้งมากกว่าทางตะวันตก
ส่วนมากบุคคลที่มี ออร่า แบบกลอรีนี้มักเป็นคนที่มีบุญวาสนาสูงส่งมาก ๆ หรือไม่ก็พวกศาสดาผู้บรรลุธรรมชั้นสูงสุด...
เรื่อง ออร่า มิใช่มีอยู่เฉพาะทางซีกโลกตะวันตกเท่านั้น ทางซีกโลกตะวันออกอย่างบ้านเมืองเราก็มีเช่นกัน และมีรายละเอียดปลีกย่อยมากกว่าด้วยอาจจะศึกษาลึกซึ้งมากกว่าทางตะวันตก
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเข้าฌาน (Theosophists) ของทางตะวันออกได้จำแนก
ลักษณะของ ออร่า รังสีของมนุษย์เอาไว้ 5 แบบด้วยกัน กล่าวคือ :
1. ออร่า แบบสุขภาวะรังสี (Health aura)
2. ออร่า แบบกรรมรังสี (Karmic aura)
3. ออร่า แบบชีวรังสี (Vital aura)
4. ออร่า แบบบุคลักษณะรังสี (Aura of Character)
5. ออร่า แบบวิญญาณรังสี (Aura of Spiritual nature)
ลักษณะของ ออร่า รังสีของมนุษย์เอาไว้ 5 แบบด้วยกัน กล่าวคือ :
1. ออร่า แบบสุขภาวะรังสี (Health aura)
2. ออร่า แบบกรรมรังสี (Karmic aura)
3. ออร่า แบบชีวรังสี (Vital aura)
4. ออร่า แบบบุคลักษณะรังสี (Aura of Character)
5. ออร่า แบบวิญญาณรังสี (Aura of Spiritual nature)
![]() |
นอกจากนี้แล้วยังระบุไว้อีกด้วยว่าสีสันของ ออร่า จะเปลี่ยนแปลงไปได้ตามอารมณ์ เช่น
ออร่า สีแสด ส้ม จะเกิดเมื่อมีอารมณ์โกรธ หรือเกลียด หรือถูกกดดัน
ออร่า สีแดงเข้มคล้ำจะเกิดขึ้นเมือมีอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจ อยู่ในโทสะจริตหรือกำลังลุ่มหลงด้วยโลภราคะ
ออร่า สีน้ำตาล จะปรากฏขึ้นเมือเกิดอารมณ์ตระหนี่ หึงหวง หรือเกิดความงก
ออร่า สีแดงดอกกุหลาบ เกิดขึ้นเมืองอยู่ในอารมณ์แห่งความรัก ความใคร่ทางกาม
ออร่า สีเหลือง จะเกิดขึ้นถ้าอยู่ในอารมณ์เป็นกลางหรือในขณะใช้ความคิดทางสติปัญญา
ออร่า สีม่วง จะปรากฏออกมาเมื่อเกิดอารมณ์สงบ วิเวก
ออร่า สีน้ำเงิน ปรากฏได้ก็ต่อมเออยู่ในอารมณ์เชื่อมันมีจิตศรัทธาในรสพระธรรมหรือบุญกุศล และ
ออร่า สีเขียว จะเกิดขึ้นถ้ามีอารมณ์อิจฉาริษยา ……
ออร่า สีแสด ส้ม จะเกิดเมื่อมีอารมณ์โกรธ หรือเกลียด หรือถูกกดดัน
ออร่า สีแดงเข้มคล้ำจะเกิดขึ้นเมือมีอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจ อยู่ในโทสะจริตหรือกำลังลุ่มหลงด้วยโลภราคะ
ออร่า สีน้ำตาล จะปรากฏขึ้นเมือเกิดอารมณ์ตระหนี่ หึงหวง หรือเกิดความงก
ออร่า สีแดงดอกกุหลาบ เกิดขึ้นเมืองอยู่ในอารมณ์แห่งความรัก ความใคร่ทางกาม
ออร่า สีเหลือง จะเกิดขึ้นถ้าอยู่ในอารมณ์เป็นกลางหรือในขณะใช้ความคิดทางสติปัญญา
ออร่า สีม่วง จะปรากฏออกมาเมื่อเกิดอารมณ์สงบ วิเวก
ออร่า สีน้ำเงิน ปรากฏได้ก็ต่อมเออยู่ในอารมณ์เชื่อมันมีจิตศรัทธาในรสพระธรรมหรือบุญกุศล และ
ออร่า สีเขียว จะเกิดขึ้นถ้ามีอารมณ์อิจฉาริษยา ……
ตอนนี้คุณอาจจะรับรู้ สี ออร่า ของคุณแล้วก็อาจจะเป็นได้นอกจากนี้แล้วผู้เชี่ยวชาญทางการเข้าฌานบางคนยังเคยเห็นสีของ ออร่า สีอื่น ๆ อีกแต่ยังระบุไม่ได้ว่ามีความหมายอย่างไร นอกจากผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งคือสตีเฟน อสวิคกิ ในปีพ.ศ. 2443ยืนยันว่าได้เห็น ออร่า ของคนใกล้จะตายเปล่งสีออกมาเป็นสีเทาทึบ ๆ คล้ายหมอกควันดำและเขาได้เห็นหลายครั้งเป็นเช่นนั้น จึงเชื่อว่าสีเทาดำนั้นเป็นสีที่เกิดขึ้นก่อนที่จิตจะสละร่างออกไปนั้นเองความตายคือการสละร่างจิตดวงวิญญานไปสู่ความว่างเปล่าดับสูญ