Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2563

กาแล็กซีทางช้างเผือกอยู่ในฟองอวกาศขนาดยักษ์ที่สสารเบาบางกว่าภายนอก

ภาพจำลองกาแล็กซีทางช้างเผือก ข้อถกเถียงร้อนแรงเรื่องหนึ่งในวงการฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ซึ่งยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ คือการคำนวณหาค่าคงที่ฮับเบิล
(Hubble constant) ที่บ่งบอกถึงการขยายตัวของเอกภพด้วยอัตราเร่ง โดยมีนักวิทยาศาสตร์สองกลุ่มคำนวณหาค่านี้ได้แตกต่างกันราว 10% มาโดยตลอด แม้ค่าคงที่ฮับเบิลโดยประมาณจะอยู่ที่ 70 กิโลเมตรต่อวินาทีต่อเมกะพาร์เซก ซึ่งหมายถึงเอกภพมีอัตราการขยายตัวเพิ่มที่ 70 กม./วินาที ในระยะทางทุก ๆ 3.26 ล้านปีแสง แต่นักวิทยาศาสตร์ที่ใช้ข้อมูลจากการแผ่รังสีไมโครเวฟพื้นหลังของจักรวาล (CMB) จะคำนวณค่าคงที่ฮับเบิลได้ 67.4 ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ซึ่งใช้ข้อมูลการเดินทางของแสงจากเหตุการณ์ซูเปอร์โนวา จะคำนวณค่าคงที่ฮับเบิลได้มากกว่าที่ 74

ล่าสุด ศ. ลูคัส ลอมบริเซอร์ นักฟิสิกส์ทฤษฏีจากมหาวิทยาลัยเจนีวา (UNIGE) ของสวิตเซอร์แลนด์ ได้เสนอแนวคิดใหม่ที่จะช่วยอธิบายสาเหตุของข้อขัดแย้งดังกล่าว และสามารถหาข้อสรุปให้แก่เรื่องค่าคงที่ฮับเบิล ซึ่งมีความสำคัญยิ่งยวดต่อพื้นฐานการศึกษาด้านจักรวาลวิทยา

ศ. ลอมบริเซอร์ ตีพิมพ์บทความวิจัยข้างต้นในวารสาร Physics Letters B โดยระบุถึงสมมติฐานที่มีความเป็นไปได้ว่า กาแล็กซีทางช้างเผือกที่เราอาศัยอยู่รวมทั้งดาราจักรใกล้เคียงอีกหลายพันแห่ง อาจอยู่ใน "ฟองฮับเบิล" (Hubble bubble) ซึ่งเป็นพื้นที่ทรงกลมในอวกาศขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่ต่ำกว่า 250 ล้านปีแสง
กาแล็กซี M106 ในกลุ่มดาวสุนัขล่าเนื้อและดาราจักรข้างเคียง ซึ่งอาจอยู่ภายในฟองอวกาศของตนเช่นกัน

กาแล็กซีทางช้างเผือกและดาราจักรเพื่อนบ้าน อาจแยกกันอยู่ในฟองอวกาศของตนเอง โดยภายในฟองทรงกลมนี้ ความหนาแน่นของสสารทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นดวงดาวหรือกลุ่มก๊าซ จะต่ำกว่าภายนอกและพื้นที่
อื่น ๆ ในห้วงจักรวาลอยู่ครึ่งหนึ่ง

การที่สสารในกาแล็กซีทางช้างเผือกเบาบางกว่าที่อื่นถึง 50% ชี้ว่าการกระจายตัวของสสารในเอกภพนั้นไม่เป็นเนื้อเดียวกัน หรือไม่มีความสม่ำเสมอคล้ายคลึงโดยทั่วกัน อย่างที่นักวิทยาศาสตร์เคยคิดเอาไว้ ซึ่งเหตุนี้น่าจะทำให้ผลการคำนวณค่าคงที่ฮับเบิลด้วยแสงจากซูเปอร์โนวาคลาดเคลื่อนไปมากกว่าของอีกวิธีหนึ่ง

แนวคิดของศ. ลอมบริเซอร์ ทำให้นักดาราศาสตร์ไม่ต้องมองหากฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์แบบใหม่ เช่นคำอธิบายเรื่องพลังงานมืดแบบแหวกแนว เพื่อนำมาอธิบายปรากฎการณ์ความขัดแย้งดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังคงจะต้องหาวิธีทำการทดลอง เพื่อพิสูจน์ความถูกต้องของแนวคิดใหม่นี้ในอนาคตอันใกล้ด้วย

รายการบล็อกของฉัน