Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559

เรื่องลึกลับเมื่อโลกถูกทะลุทะลวงเป็นรู


โลกทะลุ
เรื่องราวของโลกทะลุนั้น เป็นเรื่องราวที่มีผู้คนเคยพูดถึงกันมานานแล้ว ผู้คนในสมัยหนึ่งเคยมีความเชื่อว่าโลกของเรานี้มีรูทะลุ หรือมีช่องทางเชื่อมผ่านระหว่างขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้ ซึ่งในทางธรณีวิทยาแล้วไม่น่าจะมีความเป็นไปได้ เพราะเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่างขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้นั้นมีความยาวมาก ซึ่งไม่น่าจะมีรูทะลุอะไรที่สามารถผ่านระยะทางที่ยาวและไกลขนาดนั้นได้

แรกเริ่มเดิมทีในปี ค.ศ. 1815 นั้นเป็นครั้งแรกที่มีการพูดถึงเรื่องนี้ แต่ทว่าในเวลาที่วิทยาการและเทคโนโลยียังไม่ได้พัฒนาไปมากสักเท่าไร ดังนั้นในการพิสูจน์เรื่องราวและความเป็นไปได้นี้จึงไม่มี และผู้คนทั่วไปก็ยังคงปักใจเชื่อถึงความเป็นไปได้ว่าขั้วโลกทั้งสองขั้วนั้นอาจจะมีรูทะลุถึงกันจริง ๆ ครั้นเวลาผ่านมาอีกนานเกือบร้อยปี ความน่าเชื่อถือในทฤษฎีต่าง ๆ เริ่มมีมากขึ้น ในช่วงนี้ก็มีทั้งข้อสนับสนุนและโต้แย้งในเรื่องเหล่านี้ สำหรับข้อโต้แย้งนั้นเริ่มมาจากที่ว่า โลกเป็นดาวเคราะที่ยังไม่เย็นตัว แม้จะผ่านกาลเวลามานานถึงล้าน ๆ ปีแล้วก็ตาม แต่กระนั้นภายในโลกยังร้อนระอุอยู่ 

สาเหตุที่ทำให้เชื่อเช่นนั้น เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมามีเรื่องราวของภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ ๆ หลายต่อหลายครั้งมีเหตุภูเขาไฟใต้ทะเลระเบิดนับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้น จึงสรุปทฤษฎีนี้ได้ว่าโลกผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างยาวนานแค่ไหน แต่กระนั้นภายในโลกก็ยังไม่เย็นตัวลง ยังคงร้อนระอุอยู่และคงอีกหลายล้านปีกว่าจะเย็นตัวสนิท ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีรูทะลุจากขั้วโลกเหนือไปขั้วโลกใต้ เพราะหากมีรูทะลุ แมกม่าและลาวาคงไหลทะลุขึ้นมาตามช่องที่ว่านั้นเป็นแน่

ดังนั้นทฤษฎีเรื่องรูทะลุระหว่างขั้วโลกทั้งสองเป็นไปไม่ได้ และนี่นับเป็นข้อขัดแย้งครั้งแรกที่แสดงให้เห็นตามทฤษฎีอย่างเป็นทางการ ส่วนผู้ที่สนับสนุนและบอกว่ามีทางเป็นไปได้นั้นเนื่องมาจากโลกของเราหากเป็นหินเหลวร้อนระอุและค่อย ๆ เย็นตัวจากผิวโลก ดังนั้นโอกาสที่โลกจะเป็นรูพรุนเพราะการระเบิดจากภายในก็เป็นไปได้อย่างมาก เพราะหินหลอมเหลวมักมีรูพรุนจากแรงปะทุภายใน เมื่อเย็นตัวฉับพลันจึงมีโอกาสที่จะเป็นโพรง หรือรูทะลุจำนวนมากได้

แต่กระนั้นทั้งสองทฤษฎีก็ยังเป็นเพียงแค่ตัวอย่างที่ยกขึ้นมาพูดถึงกล่าวอ้างกันเพียงเท่านั้น แต่ทฤษฎีโต้แย้งดูจะมีภาษีมากกว่า เพราะมีข้ออ้างอิง และมีปรากฏการณ์ภูเขาไฟระเบิดปรากฏให้เห็นเป็นระยะ ๆ และยังยืนยันด้วยว่า "ใจกลางโลกนั้นร้อนระอุ อุณหภูมิเป็นพัน ๆ องศา ฉะนั้นถ้ามีรูทะลุจริง อะไร ๆ ก็ไม่สามารถผ่านมาได้ เพราะจะถูกความร้อนใจกลางโลกทำลายเสียทั้งหมด" แต่เรื่องนี้ก็มีข้อแย้งที่ว่ารูทะลุที่ว่าอาจไม่ได้อยู่ใจกลางขั้วโลกเป๊ะ ๆ แต่อาจจะย้อนกลับมา หรืออยู่เลยขึ้นไปไม่ตรงใจกลางโลกเป๊ะ ๆ ก็ได้

ดังนั้นหากรูทะลุเอียงตัวเบนออกจากเส้นผ่าศูนย์กลางหลัก เยื้องห่างออกเพียง 1 องศา เช่นนั้นรูทะลุอาจจะเบี่ยงออกจากแนวแกนหลอมเหลวที่มีความร้อนสูง และอาจจะเลยออกจากจุดนั้นห่างออกไปหลายหมื่นไมล์จนไม่ผ่านใจกลางโลกที่ร้อนระอุก็เป็นได้ หรืออย่างดีก็เป็นแค่รูทะลุจากบริเวณหนึ่งไปโผล่ยังอีกบริเวณหนึ่งที่มีด้านตรงกันข้ามก็เป็นได้ 

เพราะความเป็นไปได้ที่ว่านี้เดิมทีไม่มีข้อพิสูจน์ แต่ตกมาในราวสี่สิบปีก่อนหน้านี้ ก็เคยมีคนออกมายืนยันเรื่องนี้กันหลายคน แต่ทว่าเรื่องที่น่าเชือถือที่สุดเป็นเรื่องของนักธรณีวิทยานาม ดร.กิลเบิร์ต โรเดอไฮน์ นักธรณีวิทยาผู้เชี่ยวชาญเรื่องโครงสร้างและแก่นของโลก จากกรณีของ ดร.กิลเบิร์ต มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีรูทะลุระหว่างสองด้านของโลกนี้ขึ้นที่ใดที่หนึ่ง เพราะ ดร.กิลเบิร์ตมีคำอธิบายและมีหลักฐานในเรื่องเหล่านี้ "หนึ่งในนั้นคือหลอดเก็บตัวอย่างชั้นน้ำแข็ง และชั้นดินที่อยู่ลงในโลกมากและพบว่ามีรูทะลุหรือรูพรุน ๆ มากมายในโลกใบนี้"

ดร.กิลเบิร์ตได้เจาะดินออกมาเป็นแท่งดิน โดยเจาะตามความลึกต่าง ๆ ตัวอย่างของชั้นดินต่าง ๆ ที่พบนั้น ในชั้นดินที่ลึกลงไปแต่ละชั้น ๆ พบรูพรุนและช่องว่างต่าง ๆ ในดินมากมาย ดร.กิลเบิร์ตเชื่อว่าช่องว่างต่าง ๆ เหล่านี้น่าจะมาจากเมื่อครั้งที่โลกเริ่มเย็นตัวลง รูอากาศในดินเกิดการเย็นตัวลงฉับพลันจึงทำให้เกิดรูหรือโพรงที่ว่านี้มากมาย และรูที่ทะลุเหล่านี้ก็มีกระจายตัวอยู่ทั่วไปตามภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วผิวโลก จากทฤษฎีที่ว่านี้ทำให้ ดร.กิลเบิร์ตลงมือสำรวจอย่างจริง ๆ จัง ๆ ในปี ค.ศ. 1938 

จากการสำรวจใหญ่ครั้งนั้นก็พบว่าทฤษฎีที่ว่านี้มีความเป็นไปได้สูง เพราะเขาและทีมนักสำรวจได้พบรูทะลุหรือโพรงขนาดใหญ่ในเขตอเมริกาเหนือมากมาย ในทวีปแอฟริกาก็พบร่องรอยของหลุมนับจำนวนได้ถึงพัน ๆ รู พัน ๆ หลุมเลยทีเดียว แต่กระนั้นก็ยังไม่พบร่องรอยของสิ่งมีชีวิตจำพวกพืชและสัตว์ และอะไรที่นอกเหนือไปจากนี้ จนกระทั่งเวลาล่วงผ่านไปอีกจนถึงปี ค.ศ. 1945 การสำรวจเกือบสิบปีเต็มเริ่มส่งผลที่สามารถยืนยันทฤษฎีที่ดร.กิลเบิร์ตตั้งสมมติฐานไว้ได้


เรื่องที่ว่านี้ถูกกระจายข่าวไปทั่วโลก และเรื่องราวมากมายก็ถูกตีแผ่นออกมา นักธรณีวิทยาทั่วทุกมุมโลกต่างหันหน้ามามองและเริ่มที่จะเห็นคล้อยตามทฤษฎีของดร.กิลเบิร์ต เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าทีมงานสำรวจทางธรณีวิยาของดร.กิลเบิร์ต ได้พบกลีบดอกไม้ที่เป็นพืชพันธุ์เฉพาะถิ่นกลับมาปรากฏในอีกซีกโลกหนึ่งได้ เดิมทีหลายคนแย้งว่า มันอาจจะเป็นเพราะกระแสลมพัดกลีบดอกไม้นี้มามากกว่า

แต่ทว่าความเหี่ยวเฉาของกลีบดอกไม้ที่ว่านี้กลับกลายเป็นตัวพลิกประวัติศาสตร์ เพราะเท่าที่สันนิษฐานกับนักพืชพันธุ์วิทยาแล้ว พวกเขาตีความว่ากลีบดอกไม้นี้ถึงจะเป็น

กลีบดอกไม้ที่แห้งแล้วแต่กระนั้นก็ยังมีความสดเจือจางอยู่บ้าง ดอกไม้ที่ว่าเป็นดอกไม้กลีบแข็งขนาดใหญ่ โอกาสที่กลีบจะแห้งลง เหลือในลักษณะเช่นนี้น่าจะใช้เวลาในราว 20-23 วัน แต่กระนั้นหากกลีบดอกไม้ลอยมาตามกระแสลม หรือโดนพายุหอบมา ก็น่าจะใช้เวลามากกว่านั้น อีกอย่างพายุที่พัดหรือกระแสลมที่พัดผ่านภูมิภาคนั้น พัดจากทิศตะวันตกไปททางตะวันออก ไม่ได้ย้อนขึ้นมาทางทิศเหนือ การที่กระแสลมพายุพัดจากตะวันตกไปตะวันออกใช้เวลายาวนานถึงสองเดือนครึ่งถึงจะพากลีบดอกไม้ปลิวข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังอีกด้านหนึ่งได้ และเวลาเพียง 20-23 วัน ไม่สามารถพากลีบดอกไม้มาถึงอีกด้านหนึ่งของโลกได้ เพราะฉะนั้นแล้วไม่ใช่เพราะลม กระแสลม หรือพายุต่าง ๆ อย่างแน่นอน

โอกาสเดียวที่จะมีทางทำให้กลีบดอกไม้จากอีกฝั่งหนึ่งเคลื่อนมายังอีกฝั่งหนึ่งในสถานที่ห่างไกล โดยไม่มีคนนำพามานั้นน่าจะตรงตามทฤษฎีโลกมีรูทะลุ แต่ในที่นี่อาจเป็นรูทะลุในระยะสั้น ๆ เพราะหากกลีบดอกไม้ไม่ผ่านรูที่ว่านั้นแล้ว ก็จะไม่มีทางมาปรากฏอีกฝั่งหนึ่งของโลกในระยะเวลาเพียง 20-23 วันได้อย่างแน่นอน เมื่อมีการตีพิมพ์เรื่องนี้อย่างเป็นทางการ ทีมงานสำรวจ และนักธรณีวิทยาอีกหลาย ๆ สำนักก็เกิดการตื่นตัวขึ้นและมีการลงทุนให้สำรวจโดยมีองค์กรต่าง ๆ ออกทุนให้อย่างมากมาย แต่กระนั้นการำสรวจในวงกว้างถึงจะเพิ่งเริ่มขึ้ แต่ก็มีการสำรวจกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ เป็นเวลาล่วงเลยมาอีกในราว 5 ปี โดยตลอดระยะเวลา 5 ปี การสำรวจอย่างพิถีพิถัน และลงสำรวจกันอย่างละเอียดก็ไม่พบร่องรอยหรือรูทะลที่ว่านั่นเลย แต่กระนั้นการค้นพบของดร.กิลเบิร์ต และคณะสำรวจทีมแรกก็ยังถูกยอมรับและมีผู้ดำเนินตามกันอย่างมากมาย แต่ก็ไม่มีใครพบร่องรอยของรูทะลุที่ว่านี้เลย

ทีมนักสำรวจและนักธรณีวิทยาหลายคนเชื่อว่ารูทะลุที่ว่านั้นมีอยู่จริง ๆ แต่ที่ทีมสำรวจยังหาไม่พบ ก็เพราะว่าวิทยาการและเทคโนโงยียังไม่ดีพอ เวลาผ่านพ้นไปอีกอย่างยาวนานในที่สุดปี ค.ศ. 1997 ครั้งนี้เป็นเพียงข่าวเล็ก ๆ ในแวดวง แต่ก็มีความฮือฮากันในวงกว้างและขยายตัวออกไปทุกที ๆ เพราะคราวนี้มีผู้พบทั้งสิ่งมีชีวิตจำพวกสัตว์เลื้อยคลานในซีกโลกหนึ่ง แต่มาพบในอีกซีกโลกขั้วตรงกันข้าม


ทั้งยังพบเชื้อโรคและโรคระบาดที่อีกด้านหนึ่งของซีกโลก เข้ามาระบาดยังซีกโลกที่ไม่มีใครเข้าไปเยือน หรือเหยียบย่างเป็นเวลานาน
เรื่องราวที่แสนพิลึกพิลั่นนี้ นักวิทยาศาสตร์หัวสมัยใหม่ไม่เชื่อ เพราะมันอาจจะมีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากที่จะเป็นอย่างนั้นได้ 

แต่จากการทดลองและการสำรวจที่จริงจังก็พบว่า สถานที่หลาย ๆ แห่งเป็นเขตที่ไม่มีมนุษย์ย่างกรายเข้าไปเป็นเวลานานแล้ว เพราะไม่มีปัจจัยใด ๆ ในการดำรงชีวิตอยู่ได้ แล้วเช่นนั้นอะไรเป็นปัจจัยในการแพร่กระจายของเชื้อโรค อะไรเป็นเหตุของการข้ามถิ่นของสัตว์เลื้อยคลานกันล่ะ เรื่องที่ไม่มีคำตอบเหล่านี้ 
แม้วิทยาการจะเจริญอย่างไรก็ยังหาคำตอบกันไม่ได้ ส่วนทางนักวิทยาศาสตร์และนักธรีวิทยาสมัยใหม่เองที่ประกาศไปแล้วว่าทฤษฎีโลกทะลุเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ครั้นมาวันนี้ก็หาทฤษฎีจะรองรับเรื่องโลกทะลุไม่ได้ ทั้งยังหาร่องรอยอะไรไม่ได้จะกลับมาคืนคำยอมรับก็ทำไม่ได้อีก ดังนั้นเรื่องราวของโลกทะลุจึงยังคงคาราคาซัง และยังเป็นปริศนาที่ไม่คำตอบอยู่เช่นเดิม....

รายการบล็อกของฉัน