หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558

Aura Power ออร่าพลังงานชีวิตในตัวคุณ


(Aura Power) ออร่าพลังงานชีวิตในตัวคุณ
ออร่า(aura power) หรือการเปล่งแสงหรือรัศมีบางอย่างออกมารอบตัวคน
คำว่า ออร่า มาจากภาษาลาติน แปลว่า อากาศ มาจากภาษากรีก แปลว่า ลมหายใจ
แสง ออร่า อาจจะเป็นแสงสีต่าง ๆ กันซึ่งตาเปล่ามองเห็นหรือเป็นรังสีแสงที่ตาเปล่ามองไม่เห็น แต่สามารถมองเห็นได้ด้วย “ตาสาม” ก็ได้
แสง ออร่า เป็นแสงซึ่งแตกต่างจากสิ่งชีวิตบางจำพวกสามารถแสดงคุณสมบัติของการเรืองแสงชีวภาพได้ด้วยตนเอง อันเป็นแสงเรืองสว่างปราศจากความร้อน ได้แก่ พวกเห็ดราบางชนิด แมงบางพันธุ์ ปลาที่อาศัยอยู่ทะเลลึก เป็นต้น 

การมีแสงเรืองในตัวเองก็เพื่อประโยชน์ในการติดต่อสื่อสาร การนำทาง หรือเพื่อป้องกันภัยอันตราย …
แสงเรืองในสิ่งที่มีชีวิตบางชนิดเหล่านั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีอย่างต่อเนื่อง
โดยมีสารเอนไซม์บางอย่างเป็นตัวกระตุ้นให้โมเลกุลส่วนหนึ่งเกิดการออกซิไดซ์ และปล่อยพลังงานออกมาในรูปของแสงสีฟ้า น้ำเงิน เขียว หรือขาว สารชีวเคมีที่เป็นตัวสำคัญในการทำให้เกิดปฏิกิริยา “แสงเย็น” ดังกล่าวมีอยู่หลายชนิด ได้แก่ ออกซิเจน, ลิวซิเฟอเรส (luciferase), ลิวซิเฟอรีน (lucifurein) และอะดิโนซินไตรฟอสเฟท หรือ ATP (Adinosine triphosphate) เป็นต้น
แต่ทว่าปฏิกิริยาเคมีเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นในเซลล์ของร่างกายมนุษย์ได้อย่างเด็ดขาด
และถ้าจะไปบอกนักชีวะว่าร่างกายมนุษย์สามารถผลิตสารชีวเคมีที่ทำให้เกิดแสงเรืองได้
ซึ่งอาจเป็นสารอย่างอื่น ๆ ที่ยังไม่มีการค้นพบ นักชีวะจะส่ายหัวไม่ยอมรับความคิดนั้นเด็ดขาด
ดังนั้นการเรืองแสงได้ในตัวคนจึงยังเป็นสิ่งที่มืดมน และยังไม่มีใครอธิบายได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ……
ปฏิกริยาทางชีวเคมีหรือว่าปฏิกิริยาจากแม่เหล็กไฟฟ้ากับระบบชีวภาพกันแน่…..
กล่าวกันว่าการเปล่งแสง ออร่า นี้มีความเข้มข้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะปรากฏแสง ออร่า เข้มข้นมากในบุคคลที่มีพัฒนาการทางจิตอย่างสูง
และรองลงมาจะมีรังสี ออร่า แจ่มกระจ่างในบุคคลที่มีจิตใจอยุ่ในสภาวะปิติเบิกบานอยู่เสมอ ๆ …….
ปรากฏการณ์ ออร่า จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางจิต เพราะทางวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้
คงมีแต่หลักฐานทางศาสนาต่างๆเกี่ยวกับแสง ออร่า เท่านั้น

ได้มีการจำแนกแสง ออร่า โดย ดร.แนนดัวร์ โฟดัวร์ นักปรจิตวิทยา หรือ parapsychologis ได้อธิบายไว้ว่า…พวกนักบุญและผู้ชำนาญการศาสนาทางตะวันตก
ได้จำแนกลักษณะของ ออร่า ไว้ 4 แบบ ด้วยกัน กล่าวคือ:

1. ออร่า แบบ นิมบัส (Nimbus) คือแบบที่มี ออร่าแผ่ออกมาในลักษณะคล้ายการ “ทรงกลด” เป็นรัศมีทรงกลมรอบศีรษะ
2. ออร่า แบบ ฮาโล (Halo) เป็น ออร่า แบบการแผ่รังสีที่มีลักษณะคล้ายวงแหลวแผ่ออกมารอบศีรษะเหมือนกัน
3. ออร่า แบบ ออรีโอลา (Aureola) เป็น ออร่า แบบลักษณะแผ่รังสี คล้ายเปลวเพลิงทรงกลด
4. ออร่า แบบ กลอรี (Glory) เป็น ออร่า ลักษณะแสงเรืองเปล่งปลั่งเรืองรองแผ่ออกมารอบร่างกาย
ส่วนมากบุคคลที่มี ออร่า แบบกลอรีนี้มักเป็นคนที่มีบุญวาสนาสูงส่งมาก ๆ หรือไม่ก็พวกศาสดาผู้บรรลุธรรมชั้นสูงสุด...
เรื่อง ออร่า มิใช่มีอยู่เฉพาะทางซีกโลกตะวันตกเท่านั้น ทางซีกโลกตะวันออกอย่างบ้านเมืองเราก็มีเช่นกัน และมีรายละเอียดปลีกย่อยมากกว่าด้วยอาจจะศึกษาลึกซึ้งมากกว่าทางตะวันตก
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเข้าฌาน (Theosophists) ของทางตะวันออกได้จำแนก

ลักษณะของ ออร่า รังสีของมนุษย์เอาไว้ 5 แบบด้วยกัน กล่าวคือ :
1. ออร่า แบบสุขภาวะรังสี (Health aura)
2. ออร่า แบบกรรมรังสี (Karmic aura)
3. ออร่า แบบชีวรังสี (Vital aura)
4. ออร่า แบบบุคลักษณะรังสี (Aura of Character)
5. ออร่า แบบวิญญาณรังสี (Aura of Spiritual nature)

นอกจากนี้แล้วยังระบุไว้อีกด้วยว่าสีสันของ ออร่า จะเปลี่ยนแปลงไปได้ตามอารมณ์ เช่น
ออร่า สีแสด ส้ม จะเกิดเมื่อมีอารมณ์โกรธ หรือเกลียด หรือถูกกดดัน
ออร่า สีแดงเข้มคล้ำจะเกิดขึ้นเมือมีอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจ อยู่ในโทสะจริตหรือกำลังลุ่มหลงด้วยโลภราคะ
ออร่า สีน้ำตาล จะปรากฏขึ้นเมือเกิดอารมณ์ตระหนี่ หึงหวง หรือเกิดความงก
ออร่า สีแดงดอกกุหลาบ เกิดขึ้นเมืองอยู่ในอารมณ์แห่งความรัก ความใคร่ทางกาม
ออร่า สีเหลือง จะเกิดขึ้นถ้าอยู่ในอารมณ์เป็นกลางหรือในขณะใช้ความคิดทางสติปัญญา
ออร่า สีม่วง จะปรากฏออกมาเมื่อเกิดอารมณ์สงบ วิเวก
ออร่า สีน้ำเงิน ปรากฏได้ก็ต่อมเออยู่ในอารมณ์เชื่อมันมีจิตศรัทธาในรสพระธรรมหรือบุญกุศล และ
ออร่า สีเขียว จะเกิดขึ้นถ้ามีอารมณ์อิจฉาริษยา …… 

ตอนนี้คุณอาจจะรับรู้ สี ออร่า ของคุณแล้วก็อาจจะเป็นได้นอกจากนี้แล้วผู้เชี่ยวชาญทางการเข้าฌานบางคนยังเคยเห็นสีของ ออร่า สีอื่น ๆ อีกแต่ยังระบุไม่ได้ว่ามีความหมายอย่างไร นอกจากผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งคือสตีเฟน อสวิคกิ ในปีพ.ศ. 2443ยืนยันว่าได้เห็น ออร่า ของคนใกล้จะตายเปล่งสีออกมาเป็นสีเทาทึบ ๆ คล้ายหมอกควันดำและเขาได้เห็นหลายครั้งเป็นเช่นนั้น จึงเชื่อว่าสีเทาดำนั้นเป็นสีที่เกิดขึ้นก่อนที่จิตจะสละร่างออกไปนั้นเองความตายคือการสละร่างจิตดวงวิญญานไปสู่ความว่างเปล่าดับสูญ